การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9686
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/10/23
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1259 รหัสสำเนา 17911
คำถามอย่างย่อ
เหตุใดจึงไม่อนุญาตให้นำทองใหม่(รูปพรรณ)ไปแลกเปลี่ยนกับทองเก่าที่มีน้ำหนักมากกว่า?
คำถาม
กฎว่าด้วยดอกเบี้ยห้ามไม่ให้แลกเปลี่ยนสิ่งของประเภทเดียวกันที่ไม่อาจนับได้ แต่ในกรณีการซื้อขายทอง ผู้ค้าทองมักจะยอมแลกทองรูปพรรณใหม่กับทองเก่าที่น้ำหนักมากกว่าเท่านั้น (ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป)เนื่องจากราคาทองรูปพรรณสูงกว่าทองเก่า แต่ทุกตำราประมวลปัญหาศาสนาล้วนไม่อนุมัติให้ทำธุรกรรมดังกล่าว ดิฉันอยากทราบว่าเพราะอะไรจึงห้ามเช่นนั้น?
คำตอบโดยสังเขป

กุรอานและฮะดีษห้ามปรามธุรกรรมที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยอย่างชัดเจน โดยได้อธิบายเหตุผลไว้อย่างสังเขป อาทิเช่น ทำลายช่องทางการกู้ยืม เป็นการขูดรีดผู้เดือดร้อน และเป็นเหตุให้สูญเสียการลงทุนในด้านที่สังคมขาดแคลน
เหตุผลข้างต้นล้วนเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมทั้งสิ้น ส่วนดอกเบี้ยประเภทซื้อขายแลกเปลี่ยนนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆทั้งในกุรอานและฮะดีษ ทำให้เราไม่อาจจะทราบถึงเหตุผลได้ อย่างไรก็ดี เรายังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ท่านนบีและบรรดาอิมามกล่าวไว้ แต่ก็มิได้หมายความว่าไม่มีเหตุผลหรือปรัชญาใดๆแฝงอยู่ในเรื่องนี้
ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานเกี่ยวกับเหตุผลของการห้ามดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนว่า อาจเป็นเพราะธุรกรรมดังกล่าวจะถูกใช้เป็นช่องทางหลบเลี่ยงดอกเบี้ยประเภทกู้ยืม หรือกล่าวได้ว่าดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนคือประตูไปสู่ดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมนั่นเอง

คำตอบเชิงรายละเอียด

ประเด็นดอกเบี้ยถือเป็นประเด็นปัญหาที่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายในวิชาฟิกเกาะฮ์ โดยกุรอานและฮะดีษได้ระบุชัดเจนว่าธุรกรรมดังกล่าวถือเป็นสิ่งต้องห้าม ริบาอ์(ดอกเบี้ย)มีสองประเภท
1. ดอกเบี้ยประเภทกู้ยืม
2. ดอกเบี้ยประเภทค้าขายแลกเปลี่ยน
ดอกเบี้ยกู้ยืมหมายถึงการกู้ยืมที่มีการตั้งเงื่อนไข แต่ข้อปลีกย่อยที่ว่าอะไรคือเงื่อนไขของการกู้ยืมที่จะทำให้เป็นฮะรอมนั้น ยังมีข้อถกเถียงกันในหมู่ผู้รู้
ส่วนดอกเบี้ยที่คุณถามก็คือประเภทแลกเปลี่ยน อันหมายถึงธุรกรรมที่ . มีการแลกเปลี่ยนสินค้าสองชิ้น . แลกเปลี่ยนโดยการชั่งตวง . สินค้าสองชิ้นนั้นมีปริมาณที่แตกต่างกัน[1]

ดอกเบี้ยแลกเปลี่ยนถือเป็นสิ่งต้องห้าม แม้กระทั่งกรณีที่แลกเปลี่ยนสินค้าที่อาจแตกต่างกันบ้าง(แต่ยังถือว่าอยู่ในประเภทเดียวกัน) ตัวอย่างเช่นการแลกเปลี่ยนข้าวคุณภาพดีหนึ่งกิโลกรัมกับข้าวคุณภาพต่ำหนึ่งกิโลกรัมครึ่ง ก็ยังถือว่าฮะรอม และเช่นกัน คุณลักษณะอื่นๆเช่นความเก่าหรือใหม่ของสินค้า ฯลฯ ซึ่งล้วนเข้าข่ายดอกเบี้ยทั้งสิ้น กรณีแลกเปลี่ยนทองหรือเงินเช่นเดียวกัน กล่าวคือเมื่อจะแลกเปลี่ยนทองสองชิ้นไม่ว่าจะในลักษณะใด (เก่าหรือไม่, รูปพรรณหรือทองแท่ง, มีตำหนิหรือไม่ ฯลฯ) แม้ราคาค่างวดของแต่ละชิ้นจะแตกต่างกัน ก็ยังจะต้องกระทำโดยให้มีน้ำหนักเท่ากันเท่านั้น ทั้งนี้โดยลักษณะเฉพาะของทองและเงินแล้ว จะต้องแลกเปลี่ยนพร้อมกันเท่านั้น ไม่อนุมัติให้แลกเปลี่ยนโดยเชื่อไว้ก่อน[2]

อย่างไรก็ดี ในเมื่อยังมีความจำเป็นจะต้องแลกเปลี่ยนทองเก่ากับทองใหม่อยู่ จึงยังมีช่องทางให้กระทำได้โดยไม่ผิดหลักการศาสนา (แน่นอนว่าการขัดต่อบัญญัติศาสนาย่อมไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน) ช่องทางดังกล่าวก็คือการหลีกเลี่ยงการแลกเปลี่ยนโดยตรง และเปลี่ยนเป็นธุรกรรมสองต่อ นั่นก็คือ ขายทองเก่าไปในราคาหนึ่ง แล้วซื้อทองใหม่ด้วยเงินที่ได้มา อย่างเช่น ชายทองเก่าสิบกรัมไปในราคาเจ็ดพันบาท แล้วซื้อทองใหม่แปดกรัมในราคาเดียวกัน[3]
ต้องเรียนว่าสำหรับผู้ที่ยอมรับบทบัญญัติศาสนาแล้ว นี่ไม่ไช่การใช้เล่ห์เหลี่ยมหลบหลีกบทบัญญัติของอัลลอฮ์แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนจากวิธีที่ต้องห้ามมาสู่วิธีที่อนุมัติ ดังที่ฮะดีษสอนว่า "การหนีจากฮะรอมสู่ฮะล้าลช่างน่าชมเชยนัก"[4] อันหมายถึงการปรับวิถีชีวิตให้พ้นจากข้อห้ามทางศาสนานั่นเอง

ส่วนที่ว่าเพราะเหตุใดจึงห้ามธุรกรรมดอกเบี้ยนั้น:
ก่อนอื่นต้องเกริ่นนำเช่นนี้ว่า บางครั้งการที่เราทราบเหตุผลของบทบัญญัติต่างๆอาจจะเพิ่มแรงบันดาลใจให้ปฎิบัติตาม แต่ก็อาจจะลดทอนจิตคารวะของคนทั่วไปที่มีต่ออัลลอฮ์ไปบ้าง กล่าวคือ หากทราบเหตุ หรือผลประโยชน์ที่จะได้จากการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ อาจจะทำให้คนเรากระทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน มิไช่เพราะศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง อันจะทำให้สูญเสียคุณค่าของการกระทำอย่างบริสุทธิใจด้วยความจำนน[5] อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่กุรอานและฮะดีษมิได้กล่าวถึงเหตุผลของการบัญญัติกฎเกณฑ์ศาสนาโดยละเอียดนัก แต่กล่าวเพียงบางส่วนเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนเข้าใจโดยสังเขป

แม้เราจะทราบดีว่าบทบัญญัติศาสนาบัญญัติขึ้นบนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของมนุษย์ แต่ก็มักจะเกิดข้อสงสัยหยุมหยิมตลอดเวลา อย่างเช่น เราอาจจะทราบดีถึงผลประโยชน์ของการนมาซ แต่คำถามที่ว่าเหตุใดนมาซจึงมีสองเราะกะอัต หรือการที่หากเราดื่มด่ำกับนมาซแล้วถือวิสาสะเพิ่มเป็นสามเราะกะอัตก็ยังถือเป็นโมฆะนั้น เราไม่อาจทราบเหตุผลเหล่านี้ได้ เนื่องจากปัญญาของมนุษย์อาจสามารถรับรู้เพียงเหตุผลเชิงกว้างของบทบัญญัติศาสนาได้ แต่ไม่อาจหยั่งถึงเหตุผลของรายละเอียดปลีกย่อยได้เลย จะมีก็แต่ความศรัทธาในอัลลอฮ์และนบีเท่านั้นที่ช่วยกระตุ้นให้เราปฏิบัติตามบทบัญญัติศาสนา ซึ่งความผูกพันเชิงศรัทธานี้แหล่ะที่งดงามและสร้างความอิ่มเอิบทางจิตวิญญาณ

อย่างไรก็ดี กุรอานและฮะดีษได้ระบุถึงเหตุผลบางประการของการห้ามธุรกรรมที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยไว้ดังนี้
1. ธุรกรรมดอกเบี้ยคือการแสวงหาผลกำไรที่ปราศจากเหตุอันควร[6]
2. มีฮะดีษจากอิมามศอดิก(.)กล่าวว่า "หากธุรกรรมดอกเบี้ยเป็นที่อนุมัติไซร้ ผู้คนจะทิ้งการทำมาค้าขายที่จำเป็นต่อสังคมกันหมด อัลลอฮ์ทรงห้ามกินดอกเบี้ย เพื่อให้ผู้คนหันไปสนใจธุรกรรมที่ฮะล้าลแทนที่ฮะรอม สนใจการทำมาค้าขาย เพื่อเงินที่คงเหลือจะได้ปล่อยให้ผู้อื่นกู้ยืมได้"[7] ฉะนั้น การกินดอกเบี้ยถูกห้ามเพื่อให้เศรษฐกิจของสังคมคึกคักนั่นเอง
3. หลังจากที่กุรอานระบุข้อห้ามเกี่ยวกับดอกเบี้ยแล้ว ได้กล่าวต่อไปว่า " لا تَظلِمون و لا تُظلَمون[8]" (...เพื่อมิให้สูเจ้าขูดรีดผู้อื่นหรือถูกผู้อื่นขูดรีด) จากเนื้อหานี้ทำให้ทราบว่าธุรกรรมดอกเบี้ยเป็นการขูดรีด และนี่ก็ถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องห้ามธุรกรรมนี้
4. อีกหนึ่งเหตุผลที่ฮะดีษระบุไว้ก็คือ ธุรกรรมดอกเบี้ยจะทำลายจิตสำนึกในการประกอบกุศลกรรม ดังที่มีฮะดีษกล่าวว่า "แท้จริงอัลลอฮ์ทรงห้ามมิให้กินดอกเบี้ยก็เพราะต้องการให้ผู้คนมีจิตกุศล(ให้หยิบยืมกัน)เช่นเคย"[9]

อย่างไรก็ดี เหตุผลที่นำเสนอมาทั้งหมดล้วนกล่าวถึงอันตรายของดอกเบี้ยประเภทกู้ยืมทั้งสิ้น ทว่ามิได้กล่าวถึงเหตุผลที่ห้ามดอกเบี้ยประเภทค้าขายแลกเปลี่ยน หรืออาจจะกล่าวไว้แต่ฮะดีษไม่ตกทอดถึงเรา ประเด็นนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องปฎิบัติตามนบีและอิมาม(.)โดยดุษณี แต่ทั้งนี้ ผู้รู้อย่างเช่นชะฮีดมุเฏาะฮะรี[10] และอายะตุลลอฮ์มะการิม[11]ได้กรุณาชี้แจงไว้ว่า ปรัชญาของการห้ามดอกเบี้ยประเภทค้าขายแลกเปลี่ยนก็เพื่อป้องปรามมิให้กระทำการกินดอกเบี้ยประเภทกู้ยืม กล่าวคือ ดอกเบี้ยประเภทแลกเปลี่ยนสินค้าถือเป็นประตูไปสู่ดอกเบี้ยประเภทกู้ยืม และเพื่อป้องกันมิให้มีการอำพรางดอกเบี้ยกู้ยืมด้วยธุรกรรมดอกเบี้ยแลกเปลี่ยน จึงต้องระงับดอกเบี้ยประเภทค้าขายแลกเปลี่ยนด้วยการบัญญัติให้เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน



[1] ดู: ตำราประมวลปัญหาศาสนา บทว่าด้วยการค้าขาย

[2] ดู: ตำราประมวลปัญหาศาสนา บทว่าด้วยการค้าขายทองและเงิน (บัยอุศศ็อรฟ์)

[3] ยังมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเงื่อนไขของเรื่องนี้ หากประสงค์จะศึกษาเพิ่มเติม กรุณาศึกษาจากตำราเฉพาะทาง

[4] อัลกาฟีย์, เล่ม 5,หน้า 246

[5] อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ไม่รวมถึงปูชณียบุคคลขั้นสูงของพระองค์

[6] ย่อความจากฮะดีษในวะซาอิลุชชีอะฮ์, เล่ม 12, บทว่าด้วยดอกเบี้ย, หมวดที่ 1, ฮะดีษที่ 11

[7] วะซาอิลุชชีอะฮ์, เล่ม 12, บทว่าด้วยดอกเบี้ย, หมวดที่ 1, ฮะดีษที่ 8

[8] บะเกาะเราะฮ์, 279

[9] วะซาอิลุชชีอะฮ์, เล่ม 12, บทว่าด้วยดอกเบี้ย, หมวดที่ 1, ฮะดีษที่ 4

[10] มุรตะฎอ มุเฏาะฮารี, ปัญหาดอกเบี้ยและการธนาคาร,หน้า 46

[11] . มะการิม ชีรอซี, อัรริบา วัลบันก์ อัลอิสลามีย์, หน้า 60

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • การนอนในศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นบริเวณฮะร็อมมีฮุกุมอย่างไร?
    5764 สิทธิและกฎหมาย 2554/11/19
    ฮะร็อม(บริเวณสุสาน)ของบรรดาอิมามตลอดจนศาสนสถานถือเป็นสถานที่ที่มุสลิมให้เกียรติมาโดยตลอดเนื่องจากการแสดงความเคารพสถานที่เหล่านี้ถือเป็นการให้เกียรติบรรดาอิมามและบุคคลสำคัญต่างๆที่ฝังอยู่ณสุสานดังกล่าวฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่อไปในทางลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้เท่าที่จะทำได้แต่ทว่าในแง่ของฟิกฮ์การนอนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นมัสยิด, ฮะร็อมฯลฯถือว่าไม่เป็นที่ต้องห้ามนอกจากคนทั่วไปจะมองว่าการนอนในสถานที่ดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ซึ่งในกรณีนี้เนื่องจากวิถีประชาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ไม่บังควรก็จะถึอว่าไม่ควรกระทำไม่ว่าสถานที่เหล่านั้นจะเป็นมัสยิดหรือฮะร็อมของบรรดาอาอิมมะฮ์ฯลฯก็ตาม
  • คำว่า “ฮุจซะฮ์”ในฮะดีษของมุฮัมมัด บิน ฮะนะฟียะฮ์ หมายความว่าอย่างไร?
    7730 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/12
    คำว่าฮุจซะฮ์ที่ปรากฏในฮะดีษบทต่างๆแปลว่าการยึดเหนี่ยวสื่อกลางในโลกนี้ระหว่างเรากับอัลลอฮ์ท่านนบีและบรรดาอิมาม(อ.) ซึ่งก็หมายถึงศาสนาจริยธรรมและความประพฤติที่ดีงามหากบุคคลยึดถืออิสลาม
  • เพราะสาเหตุใดที่ ปรัชญาอันเป็นแบบฉบับของอิสลาม ไม่สามารถยกสถานภาพของตนให้กับ ปรัชญาใหม่แห่งตะวันตกได้ พร้อมกันนั้นปรัชญาอิสลาม ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบอย่างของตน?
    9219 آراء شناسی 2557/05/20
    การยอมรับทุกทฤษฎีความรู้นั้นสิ่งจำเป็นคือ ต้องมีพื้นฐานของเหตุผลเป็นหลัก ดังนั้น บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าหากว่าสมมติฐานต่างๆ ในอดีตบางอย่าง ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ถูกต้องหรือเป็นโมฆะนั่นก็มิได้หมายความว่า ทฤษฎีความรู้ทั้งหมดเหล่านั้น จะโมฆะไปด้วย แต่ปรัชญาอิสลามนั้นแตกต่างไปจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวมา ตรงที่ว่าปรัชญาอิสลามมีความเชื่อ ที่วางอยู่บนเหตุผลในเชิงตรรกะ และสติปัญญา ดังนั้น เมื่อถูกปรัชญาตะวันตกเข้าโจมตี นอกจากจะไม่ยอมสิโรราบแล้ว ยังสามารถใช้เหตุผลโต้ตอบปรัชญาตะวันตกได้อย่างองอาจ นักปรัชญาอิสลามส่วนใหญ่มีการศึกษาปรัชญาตะวันตก และนักปรัชญาตะวันตก พร้อมกับมีการหักล้างอย่างจริงจัง ...
  • ฮะดีษร็อฟอ์ (เพิกถอน) คืออะไร?
    7705 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/02/04
    ฮะดีษร็อฟอ์เป็นชื่อเรียกของฮะดีษสองบทจากท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งหนึ่งในสองบทกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับหรือสถานะนานาประเภทรวมทั้งผลต่อเนื่องต่างๆในอิสลามให้พ้นจากผู้บรรลุนิติภาวะในลักษณะบทเฉพาะกาล อีกบทหนึ่งกล่าวถึงการผ่อนผันข้อบังคับบางประการเฉพาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มฮะดีษแรกแม้จะมีข้อแตกต่างเกี่ยวกับรายละเอียดของภาระที่ผ่อนผันอยู่บ้างแต่ก็ปรากฏอยู่ในตำราที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของชีอะฮ์ทั้งยุคแรกและยุคหลังโดยอิมามศอดิก(อ.) และอิมามริฎอ(อ.)รายงานจากท่านนบี(ซ.ล.) และถือว่ามีสายรายงานที่เศาะฮี้ห์เนื้อหาเบื้องต้นของฮะดีษที่คัดเฉพาะบทที่มีรายละเอียดสมบูรณ์ที่สุดมีดังนี้ “ประชาชาติมุสลิมได้รับการผ่อนผันเก้าสิ่งต่อไปนี้หนึ่ง. ความผิดพลาดสอง.การหลงลืมสาม. สิ่งที่ไม่รู้สี่. สิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ห้า. สิ่งที่กระทำโดยไม่มีทางเลือกหก. สิ่งที่ถูกบังคับให้กระทำเจ็ด. การกระทำที่ฤกษ์ไม่ดีแปด. ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการสร้างโลกเก้า. ความริษยาตราบเท่าที่ยังไม่สำแดงออก”[i]ฮะดีษชุดนี้นอกจากจะได้รับการอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาอุศูลุลฟิกห์แล้ว (เกี่ยวกับหลักมุจมั้ลและมุบัยยันในตำราของพี่น้องซุนนะฮ์ยุคแรก) ยังได้รับการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญวิชาอุศู้ลในสายอิมามียะฮ์อีกด้วย (ใช้ตัวบทที่ว่าمالایعلمون เพื่อพิสูจน์หลักบะรออะฮ์ในข้อสงสัยเชิงฮุก่มหักห้าม)ฮะดีษอีกบทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในนาม (ร็อฟอุ้ลเกาะลัม) เป็นสายรายงานของฝ่ายอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่รายงานจากท่านนบีผ่านท่านอิมามอลี(อ.) และอาอิชะฮ์
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11592 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โปรดอธิบาย ปรัชญาของการกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ คืออะไร?
    9025 จริยศาสตร์ 2555/06/30
    ตามคำสอนของอิสลามการแต่งงานถือเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการจัดตั้งครอบครัวและสิ่งที่ติดตามมาคือ, ระบบสังคม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลสะท้อนและบทสรุปอย่างมากมาย เช่น : เพื่อตอบสนองความต้องการทางกามรมย์, ผลิตสายเลือดและรักษาเผ่าพันธุ์, สร้างความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์, สร้างความสงบมั่นแก่จิตใจ, เป็นการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์, เป็นการส่งเสริมความผูกพันให้มั่นคง และประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย, ดังนั้น การจัดการข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สมประสงค์ได้, มีเพียงการปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์พื้นฐาน และเงื่อนไขอันเฉพาะที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะเป็นไปได้. เช่น เงื่อนที่ว่านั้นได้แก่การกล่าวข้อผูกมัดนิกาห์ ด้วยคำพูดเฉพาะ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือริซาละฮฺต่างๆ) พระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกรในฐานะของ พระเจ้าผู้ทรงกำหนดกฎระเบียบ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดคำพูดอันทรงเกียรติยิ่งนี้ และให้ความน่าเชื่อถือ พร้อมกับการเกิดขึ้นของคำพูดดังกล่าวในฐานะ อักดฺนิกาห์, จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเป็นสามีภรรยา ระหว่างชายกับหญิงขึ้น. การแต่งงานมิได้หมายถึง ความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและการยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งสำหรับการแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการอ่านอักดฺนิกาห์ปัจจุบันนี้ เพื่อให้การแต่งงานนั้นถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักการชัรอียฺ. การแต่งงาน มิได้หมายถึงความพอใจของสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าเป็นความพึงพอใจและยินยอมของทั้งสองฝ่าย อันถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแต่งงาน ...
  • การนำเอาเด็กเล็กไปร่วมงานอ่านฟาติฮะฮฺ ณ กุบูร เป็นมักรูฮฺหรือไม่?
    6845 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/05/17
    การนำเด็กๆ เข้าร่วมในมัจญฺลิซ งานประชุมศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา, การนำเด็กๆ ไปมัสญิด, หรือพิธีกรรมรำลึกถึงท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ในเดือนมุฮัรรอม หรืองานเทศกาลอื่นๆ ทางศาสนา, เช่น เข้าร่วมนมาซอีดฟิฏร์ อีดกุรบาน หรือพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เพื่อเป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกับศาสนาของพวกเขา ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนการนำเด็กๆ ไปร่วมพิธีอ่านฟาติฮะฮฺ ณ สถานฝังศพ ซึ่งได้ค้นหารายงานจากตำราต่างๆ ด้านฟิกฮฺอิสลามแล้ว ไม่พบรายงานที่ระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นมักรูฮฺ ถ้าหากมีรายงานหรือเหตุผลอันเฉพาะเจาะจงจากสามีหรือภรรยาของคุณ กรุณาชี้แจงรายละเอียดมากกว่านี้แก่เราเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการค้นคว้าต่อไป ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำถามของคุณ สามารถกล่าวสรุปได้ดังนี้ : 1.รายงานที่กล่าวถึงผลบุญในการกล่าวแสดงความเสียใจกับเจ้าของงาน และการไปยังสถานฝังศพ เป็นรายงานทั่วไปกว้างๆ แน่นอนย่อมครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนด้วย 2.จากแนวทางการปฏิบัติของรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) ...
  • นามอันเป็นมักนูนและมุสตะอ์ษิ้รของอัลลอฮ์หมายความว่าอย่างไร?
    7190 รหัสยทฤษฎี 2554/10/23
    จากฮะดีษและบทดุอาทำให้ทราบว่าอัลลอฮ์มีพระนามที่ทรงคัดสรรด้วยพระองค์เองโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้พระนามเหล่านี้เรียกว่า"อัสมาอ์มุสตะอ์ษิเราะฮ์" ซึ่งตามคำบอกเล่าของฮะดีษพระนามเหล่านี้คือมิติเร้นลับของอิสมุลอะอ์ซ็อมอันเป็นพระนามแรกของพระองค์พระนามประเภทนี้ยังเรียกขานกันว่าอิสมุ้ลมักนูนหรืออิสมุ้ลมัคซูนอีกด้วย ...
  • เมื่อสามีและภรรยาหย่าขาดจากกัน ใครคือผู้มีสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร?
    13370 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/17
    ในทัศนะของอิสลามบิดามีหน้าที่จะต้องจ่ายนะฟาเกาะฮ์ (ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู) แก่บุตรทุกคนแต่ทว่าสิทธิในการดูแลและอบรมเลี้ยงดูบุตรนั้นแตกต่างกันไปตามอายุและเพศของลูกๆท่านอิมามโคมัยนีได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “มารดาถือครองสิทธิในการดูแลเลี้ยงดูบุตรชายจนถึงอายุ๒
  • ตามทัศนะของท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา อะลี คอเมเนอี การปรากฏตัวของสตรีที่เสริมสวยแล้ว (ถอนคิว,เขียนตาและอื่นๆ) ต่อหน้าสาธารณชน ท่ามกลางนามะฮฺรัมทั้งหลาย ถือว่าอนุญาตหรือไม่? และถ้าเสริมสวยเพียงเล็กน้อย มีกฎเกณฑ์ว่าอย่างไรบ้าง?
    11160 หลักกฎหมาย 2556/01/24
    คำถามข้อ 1, และ 2. ถือว่าไม่อนุญาต ซึ่งกรณีนี้ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้เสริมสวย คำถามข้อ 3. ถ้าหากสาธารณถือว่านั่นเป็นการเสริมสวย ถือว่าไม่อนุญาต[1] [1] อิสติฟตาอาต จากสำนักฯพณฯท่านอายะตุลลอฮฺ อัลอุซมา คอเมเนอี (ขออัลลอฮฺทรงปกป้อง) ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60602 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58215 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42718 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40168 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39345 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34453 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28529 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28438 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28375 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26313 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...