การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
9264
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/09
คำถามอย่างย่อ
การขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ จะเข้ากันกับเตาฮีดหรือไม่
คำถาม
ในหลายที่ทั้งเขียนและกล่าวไว้ว่า ยาอัลลอฮฺ ยามุฮัมมัด ยาอะลี ยาฮะซัน ยาฮุซัยนฺ และอื่นๆ ซึ่งบางคนกล่าวว่า นอกจากเอ่ยนามของอัลลอฮฺแล้ว การใช้ประโยชน์หรือเอ่ยนามอื่นถือว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ คำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

ถ้าเป็นการขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ด้วยความเชื่อที่ว่าบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ ท่านเหล่านั้นคือผู้ทำให้คำวิงวอนขอของท่านสมประสงค์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก แน่นอน สิ่งนี้เป็นชิริกฮะรอม และเท่ากับเป็นการกระทำที่ต่อต้านเตาฮีด ถือว่าไม่อนุญาตให้กระทำเด็ดขาด

แต่ถ้ามีความเชื่อว่า บรรดาท่านเหล่านี้จะทำให้คำวิงวอนของท่านถูกตอบรับ โดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และโดยอำนาจที่พระองค์แก่พวกเขา ซึ่งสิ่งนี้นอกจากจะไม่เป็นชิริกแล้ว ทว่ายังเป็นหนึ่งในความหมายของเตาฮีด ซึ่งไม่มีอุปสรรคอันใดทั้งสิ้น

คำตอบเชิงรายละเอียด

ความเข้าใจเกี่ยวกับชิริก

ชิริกหมายถึง การที่คนเราได้ตั้งภาคีเทียบเทียมอัลลอฮฺในแง่ของอาตมัน การสร้างสรรค์ การบริบาล และอิบาดะฮฺ ซึ่งถือว่าภาคีที่ตั้งขึ้นมานั้นเป็นหุ้นส่วนของอัลลอฮฺ ในภารกิจเหล่านี้ ดังนั้น ถ้าการขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮฺ เป็นไปในลักษณะที่ว่าการกระทำนั้นคือ ความจำเป็นของชิริกต่ออัลลอฮฺแล้วละก็ เช่น ขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ เพื่อให้สิ่งนั้นทำให้ดุอาอฺของตนสมประสงค์ อย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของอัลลอฮฺ แน่นอน การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นชิริกและเป็นฮะรอมห้ามกระทำโดยเด็ดขาด แต่ถ้าได้ขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ โดยมิได้เชื่อว่าสิ่งนั้นจะมีอำนาจเอกเทศโดยไม่ต้องพึ่งพิงอำนาจของอัลลอฮฺ ทว่าอยู่ในอำนาจของอัลลอฮฺ ในแนวตั้ง หรือได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺ หรือได้รับอำนาจจากอัลลอฮฺ แน่นอน การกระทำลักษณะนี้นอกจากจะไม่เป็นชิริกแล้ว ทว่าหลักฐานที่ปรากฏในอัลกุรอาน ซุนนะฮฺท่านศาสดา และวิสัยทัศน์ของบรรดานักปราชญ์ยังให้การสนับสนุนไว้อีกต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราขอดุอาอฺผ่านท่านศาสดา (ซ็อลฯ) อิมาม และหมู่มิตรของอัลลอฮฺ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นกระทำตามที่เราขอโดยอนุญาตของอัลลอฮฺ สิ่งนี้ไม่เป็นชิริกอยางแน่นอน เนื่องจากเรามิได้มอบให้ท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีอำนาจเคียงอัลลอฮฺ หรือมีอำนาจเป็นเอกเทศแต่อย่างใด ฉะนั้น การขอความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ในลักษณะดังกล่าวนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการทำอิบาดะฮฺกับพวกเขา

ความเข้าใจเกี่ยวกันดุอาอฺในอัลกุรอาน

ความเข้าใจผิดในความหมายของดุอาอฺในอัลกุรอาน เป็นสาเหตุนำไปสู่ความเข้าใจผิดในบางประเด็น ซึ่งจะเห็นว่าการวิงวอนขอนอกเหนือจากอัลลอฮฺ หรือการส่งเสียงเรียกที่นอกเหนือจากพระองค์ เป็นชิริก และผู้ใดกระทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการเฟร เลือดของเขาฮะลาลทันที คนกลุ่มนี้เขาได้ยึดเอาโองการบางโองการเป็นหลักฐานอ้างอิง เช่น โองการที่กล่าวว่า “แท้จริง บรรดามัสยิดเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น จงย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ”[1] ขณะที่คำว่า ดุอาอฺ ในอัลกุรอานถูกใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน เช่น :

1.บางครั้ง ดุอาอฺ หมายถึง อิบาดะฮฺ อย่างโองการข้างต้น[2]

2. บางครั้ง ดุอาอฺ หมายถึง การเชิญชวน หรือการเรียกร้องไปสู่บางสิ่ง เช่น คำกล่าวของศาสดานูฮฺ (อ.) ที่ว่า “(นูฮฺ) กล่าวว่า โอ้ พระผู้อภิบาลของข้าฯ แท้จริงข้าฯ ได้เชิญชวนหมู่ชนของข้าฯ ทั้งราตรีและทิวากาล  ทว่าการเชิญชวนของข้าฯ มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดแก่พวกเขา นอกจากการหลบหนี”[3] คำว่าดุอาอฺ ในโองการหมายถึง การเชิญชวนพวกเขาไปสู่ความศรัทธา แน่นอน ดุอาอฺลักษณะนี้ นอกจากจะไม่เป็นชิริกแล้ว ยังเป็นตัวตนของความศรัทธาด้วยซ้ำไป การกระทำเช่นนั้นจึงเป็นวาญิบสำหรับบรรดาศาสดา

3. บางครั้ง ดุอาอฺ หมายถึง การอ้อนวอนในสิ่งที่เป็นความต้องการ ซึ่งบางครั้งก็กระทำผ่านหนทางปกติธรรมทั่วไป เช่น “พยานต้องไม่ปฏิเสธเมื่อพวกเขาถูกเรียกตัว”[4] ดุอาอฺตรงนี้ มีความหมายทั่วไป แน่นอน ถ้าบุคคลใดได้กระทำเขาจะไม่เป็นกาเฟรเด็ดขาด

บางครั้งอาจมีการกระทำเกิดขึ้น แต่มิได้เป็นไปในลักษณะทั่วไป ประหนนึ่งเป็นปาฏิหาริย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้

ก) บางครั้งมีความเชื่อว่าสิ่งนั้นมีผลที่เป็นเอกเทศจากอัลลอฮฺ แน่นอน ส่วนนี้ถือว่าเป็นชิริก เนื่องจากเฉพาะอัลลอฮฺ เท่านั้นที่มีอำนาจเหนือ หรือก่อให้เกิดผลได้ ซึ่งนอกเหนือจากพระองค์แล้ว แม้จะเป็นสาเหตุธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะมีอำนาจมากน้อยเพียงใด ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น และก่อให้เกิดผลได้ก็ด้วยอนุญาตของพระองค์ อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “จงกล่าวเถิด พวกเจ้าจงเรียกร้องบรรดาสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง (เป็นพระเจ้า) อื่นจากพระองค์ (แต่พวกนั้น) ไม่มีอำนาจที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ยากและเปลี่ยนแปลงพวกเจ้าได้”[5] ดังนั้น ผู้ศรัทธาที่มีสติปัญญาต่างเชื่อมั่นว่า ความเชื่อเหล่านี้ไม่มีอยู่ในตัวของเหล่าบรรดาศาสดา หรือหมู่มิตรของอัลอฮฺ อย่างแน่นอน

ข) บางครั้งขอผ่านบุคคล เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นขอต่ออัลลอฮฺให้แก่เรา การขอลักษณะนี้บ่งบอกให้เห็นว่า เตาฮีดในตัวของบุคคลนั้นมีความสมบูรณ์ เนื่องจากเขาได้ให้บุคคลที่มีเกียรติกว่าเป็นสื่อกลาง ของการช่วยเหลือ ณ อัลลอฮฺ ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าปฐมเหตุสมบูรณ์ที่แท้จริงคือ อัลลอฮฺ มิใช่ผู้อื่น ดังนั้น ด้วยการตะวัซซุลไปยังหมู่มิตรของอัลลอฮฺ โดยขอผ่านพวกเขา ให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ให้สิ่งที่เขาต้องการสมประสงค์ การกระทำเช่นนี้คือ องค์ของเตาฮีด อีกทั้งเป็นการยืนยันให้เห็นถึง การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียวอีกด้วย อัลกุรอาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เมื่อวงศ์วานอิสราเอลได้มาหามูซา และวอนต่อมูซาว่า ให้พระเจ้าประทานสำรับอาหารนานาชนิดลงมาแก่พวกเขา กล่าวว่า “โอ้ มูซา เราไม่สามารถทนต่ออาหารชนิดเดียวได้ ดังนั้น จงวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้มีสิ่งงอกเงยขึ้นจากดิน ทั้งพืชผัก แตงกวา ข้าวสาลี ถั่ว และหัวหอมแก่พวกเรา”[6] มูซา มิได้ทักท้วงพวกเขาว่า ทำไมพวกท่านจึง เรียกร้องจากเราว่า “ยามูซา” ทำไมพวกท่านจึงไม่วอนขอต่อพระเจ้าโดยตรงเล่า สิ่งนี้เป็นชิริก และเป็นกาเฟร ทว่าในทางกลับกัน มูซา ได้วอนขอต่ออัลลอฮฺตามที่พวกเขาต้องการ และความต้องการของพวกเขาก็สมประสงค์

ความเชื่อที่มีต่อบทบาทของ สิ่งถูกสร้าง ที่มีต่อมรรคผบชล หรือเชื่อในผลหรือเหตุปัจจัยที่มีต่อ ผู้ให้บังเกิดผล ไม่ถือว่าเป็นชิริก สิ่งจำเป็นสำหรับเตาฮีด มิได้หมายความว่าต้องปฏิเสธระบบของเหตุปัจจัยทางโลก หรือทุกร่องรอยที่เกิดขึ้นปราศจากสื่อกลาง สิ่งนั้นมาจากอัลลอฮฺ และสำหรับเหตุปัจจัยแล้วถือว่าไม่มีบทบาทอันใดทั้งสิ้น แม้ว่าจะอยู่ในแนวตั้งของอัลลอฮฺก็ตาม เราไม่เชื่อหรือว่า ไฟมีบทบาทในการเผาไหม้ น้ำช่วยดับกระหาย ฝนช่วยให้เกิดการเจริญงอกงาม อัลลอฮฺเท่านั้นที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ ดับกระหาย และให้การเจริญงอกงาม ซึ่งความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะยังมีเหตุปัจจัยอื่นอันกฎที่เป็นไปธรรมชาติทั่วไป โดยที่พระองค์มิได้เป็นเหตุของการเกิดสิ่งนั้นโดยตรง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ดังนั้น การที่เราเชื่อในสิ่งถูกสร้าง มิได้หมายความว่าสิ่งนั้นเท่าเทียมอัลลอฮฺ หรือเป็นชิริกในอาตมันบริสุทธิ์ของพระองค์ หรือเชื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นพระเจ้าองค์ที่สอง ทว่าสิ่งเหล่านั้นคือ ความสมบูรณ์ในความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าองค์เดียว ขณะเดียวกันการเชื่อในเรื่องผลและเหตุปัจจัย หรือการมีบทบาทของสิ่งถูกสร้างในระบบธรรมชาติ ดังเช่นที่ว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดมีความเป็นเอกเทศด้วยตัวมัน โดยไม่ต้องพึ่งพาอัลลอฮฺ และมิได้เป็นเอกเทศในการเกิดผล ความเชื่อเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็น ชิริกแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเห็นว่า เขตแดนของชิริกและเตาฮีด จึงมิได้หมายความว่า การที่เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺว่ามีบทบาท ทว่าชิริก นั้นหมายถึงการที่เราเชื่อว่าสิ่งอื่นมีอำนาจเทียบเทียมอัลลอฮฺ ทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน นอกจากนั้นยังเชื่อเหล่านั้นมีอำนาจเป็นเอกเทศในการบังเกิดผล

อีกนัยหนึ่งการเชื่อในอำนาจหรือบทบาทของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น มะลาอิกะฮฺ บรรดาศาสดา หรืออิมาม เหมือนกับการเชื่อในบทบาทและเหตุปัจจัยธรรมดาทั่วไป ไม่ถือว่าเป็นชิริก หรือการมีอำนาจเหนือปัจจัยทางธรรมชาติ ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเชื่อในอำนาจที่ตรงกันข้ามกับอัลลอฮฺ ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่บนโลกนี้การมีอยู่ของสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของอัลลอฮฺ และพระประสงค์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดมีอำนาจหรืออยู่อย่างเอกเทศด้วยตัวเองโดยปราศจากอัลลอฮฺ แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยอ้างว่าเป็นอำนาจของตน อำนาจนั้นก็ยังเป็นของพระเจ้าอยู่ดี เขาเป็นเพียงผู้ปฏิบัติที่อยู่ภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺ ดังเช่นที่ ญิบรออีลคือ สื่อกลางแห่งความเมตตา ความรู้ และวะฮฺยูของอัลลอฮฺ หรือมีกาอีลคือ สื่อแห่งความโปรดปรานของพระองค์ อิสราฟีลสื่อแห่งความเป็นและความตาย และมะลาอิกะตุลเมาต์คือสื่อในการถอดดวงวิญญาณ

ดังนั้น สำหรับความชัดเจนในประเด็นนี้ จะขอยกตัวอย่างจากอัลกุรอานสัก 2 โองการ ดังนี้ :

1.อัลกุรอาน จากคำพูดของอีซา (อ.) กล่าวว่า “ฉันจะจำลอง [สิ่งหนึ่ง] จากดินดั่งรูปนกสำหรับพวกท่าน แล้วฉันจะเป่าไปบนมัน  แล้วมันจะกลายเป็นนกโดยอนุมัติ [บัญชา] ของอัลลอฮฺ   ฉันจะรักษาคนตาบอดโดยกำเนิด  คนเป็นโรคเรื้อนให้หายปกติ ฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น[7]

2.บรรดาลูกๆ ของศาสดายะอฺกูบ (อ.) หลังจากได้สำนึกผิดแล้ว ได้เข้าไปหาบิดาของพวกตน “กล่าวว่า โอ้ พ่อของเรา โปรดขออภัยโทษแก่เราในความผิดของเรา แท้จริง เราเป็นผู้ผิด กล่าวว่า ฉันจะขออภัยโทษจากพระผู้อภิบาลของฉันให้พวกเจ้าในไม่ช้านี้ แท้จริง พระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ”[8]

ซึ่งจะเห็นว่า บรรดาลูกๆ ของยะอฺกูบ ได้ใช้ประโยคว่า “โอ้ พ่อของเรา” ทั้งที่ศาสดายะอฺกูบมิได้ตำหนิหรือห้ามปรามว่า อย่าพูดเช่นนั้น หรือกล่าวว่า พวกเจ้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าโดยตรงซิ ดังนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า สิ่งเหล่านี้มิได้ขัดแย้งกับเตาฮีดแต่อย่างใดไม่

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแหล่งความรู้ดงต่อไปนี้ :

1.การตะวัซซุล และความสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ โดยปราศสื่อกลาง, คำถามที่ 524 (ไซต์ : 590)

2.ตะวัซซุล ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ, คำถามที่ 2032 (ไซต์ : 2265)

3.ปรัชญาการตะวัซซุลต่ออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) คำถามที่ 1321 (ไซต์ : 1316)

4.มุเฏาะฮะรียฺ,มุรตะฎอ, เฌะฮอนบีนี เตาฮีดดี, เตหะราน, ซ็อดรอ, พิมพ์ครั้งที่ 21, ปี 1384

5.มะการิมชีรอซียฺ,นาซิร,วะฮาบี บัรซัร โดเราะฮี, กุม, มัดเราะเซะฮฺ อิมามอะลี บิน อะบีฏอลิบ (อ.) พิมพ์ครั้งแรก, ปี 1384

 


[1] บทญิน, 18, "وَ أَنَّ الْمَساجِدَ لِلَّهِ فَلا تَدْعُوا مَعَ اللَّهِ أَحَدا".

[2] บทญิน, 18,

[3] บทนูฮฺ, 5-6.

[4] บทบะเกาะเราะฮฺ, 282,  ." وَ لَا يَأْبَ الشهَُّدَاءُ إِذَا مَا دُعُواْ"

[5] บทอัสรออฺ, 56, "قُلِ ادْعُواْ الَّذِينَ زَعَمْتُم مِّن دُونِهِ فَلَا يَمْلِكُونَ كَشْفَ الضُّرِّ عَنكُمْ وَ لَا تحَوِيلا"

[6] บทบะเกาะเราะฮฺ, 61 กล่าวว่า ..

."وَ إِذْ قُلْتُمْ يَمُوسىَ‏ لَن نَّصْبرِ عَلىَ‏ طَعَامٍ وَاحِدٍ فَادْعُ لَنَا رَبَّكَ يخُرِجْ لَنَا ممِّا تُنبِتُ الْأَرْضُ مِن بَقْلِهَا وَ قِثَّائهَا وَ فُومِهَا وَ عَدَسِهَا وَ بَصَلِهَا"

[7] บทอาลิอิมรอน, 49

[8] บทยูซุฟ, 97, 98.

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • มัสญิดฎิรอร มีความหมายว่าอะไร? เรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับการสร้างมัสญิดคืออะไร?
    9150 ข้อมูลน่ารู้ 2555/05/17
    คำว่า “ฎิรอร” มาจากริยาในรูปของ บาบมุฟาอะละ ในพจนานุกรมหมายถึง การทำให้สูญเสีย[1] โดยเจตนา[2] เรื่องราวของมัสยิด ฎิรอร ถูกกล่าวไว้ในบทเตาบะฮฺ สาเหตุที่ตั้งชื่อมัสญิดนี้ว่า ฎิรอร ก็เนื่องจากว่า มีมุนาฟิกีน (พวกกลับกลอก) กลุ่มหนึ่งต้องการให้แผนการชั่วร้ายของตนที่มีต่ออิสลาม ซึ่งพวกเขาได้วางไว้ให้บรรลุเป้าหมาย พวกเขาจึงได้สร้างมัสญิดหลังหนึ่งขึ้นมาใน เมืองมะดีนะฮฺ โดยมีเจตนาให้มัสญิดดังกล่าวเป็นฐานสร้างอันตรายแก่นบี (ซ็อล ฯ) บรรดามุสลิมและอิสลาม[3] เรื่องราวโดยสรุปของการสร้างมัสญิด ฎิรอร คือ : กลุ่มมุนาฟิกีน (สับปลับ) ได้มาหาท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เพื่อขออนุญาตท่านศาสดาสร้างมัสญิดขึ้นในหมู่ชนเผ่า ...
  • วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً (อัลมุซซัมมิล: 5) หมายถึงอะไร?
    9360 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/18
    วจนะอันหนักอึ้งในโองการ إِنَّا سَنُلْقِی عَلَیْکَ قَوْلاً ثَقِیلاً หมายถึงกุรอาน แม้ว่านักอรรถาธิบายจะตีความคำว่าวจนะอันหนักอึ้งแตกต่างกันไปตามแต่ละแง่มุมของโองการ แต่สันนิษฐานว่าความเป็นวจนะอันหนักอึ้ง (อันหมายถึงกุรอานอย่างมิต้องสงสัย)  เกิดจากแง่มุมต่างๆอันได้แก่ ความหนักอึ้งในแง่เนื้อหาโองการ ในแง่การแบกรับด้วยหัวใจ ในแง่การเผยแพร่คำสอน ในแง่การวางแผนและปฏิบัติ ฯลฯ ...
  • การอยู่ตามลำพังกับหญิงสาวที่เป็นนามะฮฺรัม ภายในห้องเดียวกัน เป็นอะไรหรือไม่?
    19493 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/04/07
    คำหลักคำสอนของศาสนา,หนึ่งในหลักการที่สอนให้มนุษย์มีความบริสุทธิ์และปกป้องตนจากการทำความผิดคือ การห้ามมิให้อยู่กับหญิงสาวตามลำพังภายในห้องเดียวกัน คำสั่งเสียของชัยฏอน ที่มีต่อมูซา (อ.) ที่ว่า “โอ้ มูซาจงอย่าอยู่ตามลำพังกับหญิงสองต่อสองในที่เดียวกัน เนื่องจากบุคคลใดก็ตามกระทำเช่นนี้ ฉันจะเป็นเพื่อนกับเขา มิใช่ผู้ช่วยเหลือเขา”[1] เช่นเดียวกันท่อนหนึ่งจากคำแนะนำที่มารมีต่อศาสดานูฮฺ (อ.) “เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้อยู่ตามลำพังสองต่อสองกับหญิง ในที่นั้นจะไม่มีใครอยู่กับเจ้าเลย แล้วเจ้าจะคิดถึงเรา”[2] ด้วยเหตุนี้เอง, จากการที่ชัยฏอน จะอยู่กับเราในที่ซึ่งเราได้อยู่ตามลำพังสองต่อสองกับหญิง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง การอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับหญิงที่เป็นนามะฮฺรัม เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อแห่งการกระซิบกระซาบของชัยฏอน ประเด็นสำคัญที่จำเป็นต้องเตือนสำทับในที่นี้คือ บางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ที่เราได้จำเป็นต้องอยู่ตามลำพังกับนามะฮฺรัม เนื่องด้วยความจำเป็นด้านการศึกษาค้นคว้า การให้คำปรึกษา และอื่นๆ ดังนั้น ในกรณีที่จำเป็นเหล่านี้ ถ้าหากใส่ใจและมีความเคร่งครัดต่อคำสอนของศาสนาและชัรอียฺ หรือให้เลือกอยู่ในที่สาธารณเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เพื่อปิดประตูการหยุแหย่ของชัยฏอน
  • สรรพสัตว์นั้นมีจิตวิญญาณหรือไม่ ถ้าหากมีชีวิตของสัตว์กับมนุษย์แตกต่างกันอย่างไร
    14328 เทววิทยาใหม่ 2554/04/21
    ก่อนที่จะเข้าเรื่องสิ่งจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงคือพื้นฐานของคำตอบที่จะนำเสนอนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของฮิกมัตมุตะอาลียะฮฺ (ฟัลซะฟะฮฺ
  • อัล-กุรอาน, คือปาฏิหาริย์สุดท้ายที่พระเจ้าทรงประทานมา และความมหัศจรรย์ของ อัลกุรอานคืออะไร ?
    18713 วิทยาการกุรอาน 2553/10/11
    สำหรับความมหัศจรรย์ของกุรอาน ถูกอธิบายไว้ 3 ลักษณะ : มหัศจรรย์ด้านวาจา, มหัศจรรย์ในแง่ของเนื้อหา และมหัศจรรย์ในทัศนะของผู้นำอัลกุรอานมา1) มหัศจรรย์ด้านวาจาของกุรอานถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนก.
  • มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์คืออะไร? ท่านนบี(ซ.ล.)และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ทราบเรื่องนี้หรือไม่?
    9914 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์เป็นชื่อหนังสือที่บันทึกโดยท่านอิมามอลี(อ.)ภายหลังนบีวะฝาตไปแล้วเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลที่ญิบรออีลหรือมะลาอิกะฮ์องค์หนึ่งถ่ายทอดแก่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตตลอดจนความเร้นลับของอาลิมุฮัมมัด(ซ.ล.) หนังสือเล่มนี้ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของตำแหน่งอิมามและเป็นมรดกตกทอดระหว่างอิมามปัจจุบันอยู่ในครอบครองของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นหลังท่านนบี(ซ.
  • ถ้าหากเป็นการแต่งงานชั่วคราว (มุตอะฮฺ) และฝ่ายชายได้เป็นตัวแทนฝ่ายหญิง เพื่ออ่านอักด์ แต่มิได้บอกกำหนดเวลาและจำนวนมะฮฺรียะฮฺ ถือว่าอักด์ถูกต้องหรือไม่?
    10013 สิทธิและกฎหมาย 2555/01/23
    คำตอบจากมัรญิอฺตักลีดบางท่านกล่าวว่า ..สำนักฯพณฯท่านผู้นำอายะตุลลอฮฺอัลอุซมาคอเมเนอี (ขออัลลอฮฺ
  • เพราะเหตุใดท่านศาสดา (ซ็อลฯ) จึงไม่ลงโทษบรรดาพวกกลับกลอกเสียตั้งแต่แรก ทั้งที่ทราบถึงแผนการ การก่อกรรมชั่วของพวกเขาเป็นอย่างดี? ขณะที่ท่านคิเฎรสังหารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะก่อความเสียหาย?
    7479 رفتار با پیروان 2555/08/22
    ถ้าหากท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) สังหารพวกเขาตั้งแต่วันนั้นให้หมดไป ก่อนที่แผนการของพวกเขาจะถูกปฏิบัต และวันนี้ก็จะไม่มีคำพูดว่า แล้วทำไมท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก่อนที่จะดำเนินการไม่ประณาม หรือไม่ตักเตือนพวกเขาเสียก่อน ทำไมไม่ให้โอกาสพวกเขา บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงก็ได้ นอกจากนั้นแล้วท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีหน้าที่ปฏิบัติไปตามกฎภายนอก และท่านมิได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้ทำการเข้มงวดกับบุคคลที่เป็นผู้กลับกลอก หรือปฏิบัติกับพวกเขาโดยความเข้มงวดอย่างเปิดเผย ดั่งที่บางตอนของคำเทศนาเฆาะดีรได้กล่าวว่า »ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า วัตถุประสงค์ของอัลลอฮฺ จากโองการดังกล่าวคือ เซาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่ง ซึ่งท่านรู้จักทั้งนามและสถานภาพของเขา, แต่ท่านมีหน้าที่ปกปิดพวกเขาไปตามสภาพ« ...
  • ความรุ่งเรืองและความสมบูรณ์แบบของมนุษย์อยู่ในอะไร
    6737 จริยธรรมปฏิบัติ 2553/10/21
    คำตอบที่ครอบคลุมสำหรับคำถามนี้ขึ้นอยู่กับการตอบคำถาม 2 ข้ออันเป็นพื้นฐานสำคัญ1) ความรุ่งเรืองคืออะไร ความรุ่งเรืองแยกออกจากความสมบูรณ์หรือไม่2) มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตแบบไหน? มนุษย์เป็นวัตถุบริสุทธิ์ หรือ ... ?
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28821 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60881 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    58577 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42967 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    40720 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39609 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34747 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28821 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28702 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    28669 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    26554 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...