การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
8336
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/04/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa998 รหัสสำเนา 13577
คำถามอย่างย่อ
เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
คำถาม
เพราะเหตุใดอัลกุรอานบางโองการ มีความหมายขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของศาสดา
คำตอบโดยสังเขป

คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า

1) คำว่า อิซมัต เป็นสภาพหนึ่งทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความบริสุทธิ์ อันเป็นสาเหตุทำให้บุคคลนั้นหันหลังให้กับบาปกรรม พฤติกรรมชั่วร้าย และความผิดต่างๆ โดยสิ้นเชิง อีกทั้งสภาพดังกล่าวยังปกป้องบุคคลนั้น ให้รอดพ้นจากความผิดพลาด และการหลงลืม โดยปราศจากการปฏิเสธเจตนารมณ์เสรี หรือมีการบีบบังคับให้บุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์

2. ความเร้นลับแห่งความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดาก็คือสติสัมปชัญญะ ความเชื่อมั่น ความศรัทธาสมบูรณ์ และความรักที่มีต่ออาตมันบริสุทธิ์ของอัลลอฮฺ พร้อมกับการยึดมั่นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และคุณลักษณะอันสูงส่งและสง่างามของพระองค์ นอกจากนั้นแล้วยังได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ในการปกป้องบรรดาศาสดาให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายของชัยฏอนมารร้าย และอำนาจฝ่ายต่ำแห่งตัวตน

3. เหตุผลด้านสติปัญญาจำนวนมากที่บ่งบอกถึงความจำเป็นที่ว่า บรรดาศาสดาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่

4. กรณีที่ถ้าเพื่อว่าโองการอัลกุรอานกับเหตุผลของสติปัญญาเกิดความขัดแย้งกันขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาโองการอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็จะไม่มองข้ามความหมายภายนอกของโองการในตอนแรก

5. มีโองการจำนวนมากมายที่บ่งบอกถึงความจำเป็นที่บรรดาศาสดาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ แม้ว่าคำว่า อิซมัต จะไม่ได้กล่าวไว้ในโองการเหล่านั้นก็ตาม เช่น

5.1- อัลกุรอาน มีหลายโองการที่ระบุว่าบรรดาศาสดาทั้งหลาย (.) ล้วนได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วทั้งสิ้น เช่น โองการที่ 45 – 48 บทซ็อด กล่าวว่า ผู้ที่ถูกทำให้บริสุทธิ์ หมายถึงบุคคลที่จะไม่ถูชัยฏอนล่อลวงให้หลงทางได้อีก

5.2- โองการที่อธิบายถึงการมีอยู่ของ การชี้นำของพระเจ้า ในบรรดาศาสดาทั้งหลาย ซึ่งโองการเหล่านี้มีจำนวนมากมาย เช่น โองการที่ 84 – 90 บทอันอาม กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับการชี้นำจากพระเจ้าแล้วการหลงทางและความหวาดกลัวไม่มีความหมายอันใดสำหรับพวกเขา

5.3 – อัลลอฮฺ (ซบ.) มีคำสั่งอยู่ในหลายโองการให้เชื่อฟังปฏิบัติตามบรรดาศาสดา โดยกำชับให้ประชาชนเชื่อฟังปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นโดยปราศจากเงือนไข เช่น โองการที่ 31 , 32 บทอาลิอิมรอน, โองการที่ 80 บทนิซาอ์, โองการที่ 52 บทนูร เป็นที่ชัดเจนว่าการเชื่อฟังปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไขใดทั้งสิ้นจากบุคคลหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุผลที่บ่งชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์ของบุคคลดังกล่าว

5.4- โองการที่ 26 – 28 บทญิน ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปกป้องท่านศาสดาในทุกๆ ด้าน

5.5- โองการตัฏฮีร (บทอะฮฺซาบ 33) บ่งไว้อย่างชัดเจนถึงความบริสุทธิ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล )

6. โองการที่ไม่เข้ากันกับความบริสุทธิ์ บางทีมาในรูปของประโยคเงื่อนไข ซึ่งไม่ได้ระบุถึงการกระทำความผิดหรือบาปกรรม หรือบางทีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่กำลังกล่าวถึงคือประชาชนผู้ศรัทธาโดยทั่วไป มิใช่บรรดาศาสดา

7. กรณีเกี่ยวกับศาสดาอาดัม (.) ซึ่งมีความคลางแคลงใจอย่างมากมายเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของท่าน ดังที่กล่าวว่า

ประการแรก การห้ามของโองการเกี่ยวข้องกับประเด็นที่กล่าวถึง เป็นการห้ามกระทำสิ่งที่ดีกว่า หรือห้ามในเชิงแนะนำ มิใช่เป็นการห้ามแบบ เมาลาวีย์ หมายถึงปฏิเสธไม่ให้ทำโดยเด็ดขาด

ประการที่สอง แม้ว่าจะเป็นการห้ามแบบเมาลาวียฺ ก็มิได้เป็นการห้ามชนิดที่เป็นฮะรอม เพียงแค่เป็นการละเว้นสิ่งที่ดีกว่าเท่านั้น มิใช่ความผิดแต่อย่างใด

ประการที่สาม แหล่งกำเนิดหรือโลกที่อาดัม (.) พำนักอยู่ในนั้น มิใช่โลกแห่งการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ดังนั้น การปฏิบัติสิ่งขัดแย้งในโลกที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการปฏิบัติ จึงไม่ถือว่ามีความผิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

8. ถ้าหากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงตรัสรุนแรงกับบรรดาศาสดาทั้งหลาย ก็เป็นเพราะว่าท่านเหล่านั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ที่ยังมีอารมณ์ธรรมชาติ มีความต้องการ มีความโกรธ และมีพลังอำนาจฝ่ายต่ำอยู่ในตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการคำแนะนำจากพระเจ้าทั้งสิ้น ฉะนั้น ถ้าอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปล่อยให้มนุษย์อยู่กับตัวเองเพียงชั่วเวลาอันเล็กน้อย เขาก็จะพบกัยความหายนะทันที

คำตอบเชิงรายละเอียด

คำตอบสำหรับคำถามดังกล่าวนี้ อันดับแรกสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือความหมายของคำว่า อิซมัต ท่านอัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอียฺ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของเราจากคำว่า อิซมัต ก็คือสภาพหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของบรรดาผู้ที่เป็นมะอฺซูม ซึ่งสภาพดังกล่าวนั้นจะเป็นอุปสรรกีดขวางไม่ให้เขาประพฤติในภารกิจที่ไม่อนุญาต เช่น การทำความผิด หรือบาปกรรม เป็นต้น[1]

ฟาฎิล มิกดาร เป็นนักเทววิทยาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของฝ่ายชีอะฮฺ ได้อธิบายคำนี้ได้สมบูรณ์มากกว่า โดยกล่าวว่า อิซมัต คือความการุณย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงกระทำแก่ปวงบ่าวคนหนึ่งในลักษณะที่ว่า การมีอิซมัตอยู่ในตัว ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีอำนาจในการกระทำความผิดอีกต่อไป ทว่าเขามีอำนาจในการควบคุมความผิด ซึ่งสิ่งนี้นับว่าเป็นความการุณย์ประกอบกับเป็นความเคยชินของบุคคลนั้น ที่จะคอยห้ามหรือยับยั้งไม่ให้เขากระทำความผิด นอกจากนี้ ผลบุญจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามและการลงโทษที่เกิดจากการฝ่าฝืนยังเป็นที่รับรู้อย่างชัดเจน และเขายังหวั่นเกรงในเรื่องการลงโทษกรณีที่ละเว้นสิ่งที่ดีกว่า หรือการกระทำที่เกิดจากการหลงลืม[2]

ประเด็นที่สำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษในที่นี้คือ อิซมัต จะไม่บังคับให้บุคคลที่เป็นมะอฺซูม (ผู้บริสุทธิ์) กระทำการเชื่อฟังปฏิบัติตาม หรือบังคับให้ละเว้นสิ่งที่เป็นบาปกรรมแต่อย่างใด มิใช่ว่าผู้ที่เป็นมะอฺซูม ไม่มีอำนาจที่จะกระทำความผิด หรือเจตนารมณ์เสรีได้ถูกปฏิเสธไปจากเขาโดยสิ้นเชิง ทว่าพลังศรัทธาสมบูรณ์ ความรู้ และความสำรวมตนของเขาอยู่ในระดับสูง ซึ่งกล่าวได้ว่าเขาผู้นี้ได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเข้าใจอย่างลึกซึ่งในความสมบูรณ์ และความสูงส่งของพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางมิให้เขาได้ล่วงละเมิดกระทำความผิด หรือละเว้นการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ นอกจากนั้นแล้ว ในกรณีที่เกี่ยวกับบรรดาศาสดา (.) หรือบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (.) มีรายงานจำนวนมากมายที่บ่งบอกว่าบรรดาท่านเหล่านั้นสนับสนุนส่งเสริมพระดำรัสของพระเจ้าเสมอ และอัลลอฮฺ (ซบ.) ได้กล่าวเรียกพวกเขาว่า รูฮุลกุดส์ หมายถึง วิญญาณบริสุทธิ์[3]

เหตุผลที่บ่งบอกว่าบรรดาศาสดาเป็นผู้บริสุทธิ์ : ก่อนที่เราจะเข้าไปในรายละเอียดของโองการ จำเป็นต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก่อนกล่าวคือ ระหว่างสิตปัญญาและวะฮฺยูไม่มีความขัดแย้งกันแน่นอน ดังนั้น จำเป็นต้องตีความอัลกุรอานในลักษณะที่ว่า ความหมายของอัลกุรอานไม่ขัดแย้งกับสติปัญญา

เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดา จะขอกล่าวเหตุผลในเชิงของสติปัญญาสักประการหนึ่ง กล่าวคือ เชคฏูซีย์ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ความบริสุทธิ์ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบรรดาศาสดา เพื่อจะได้มั่นใจในตัวพวกเขาได้ อีกอย่างหนึ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่[4] ด้วยเหตุนี้ ความจำเป็นในการเป็นผู้บริสุทธิ์ของบรรดาศาดาคือ เหตุผลที่บ่งบอกถึงความสัตย์จริงของท่าน

บางคนกล่าวถึงเหตุผลแห่งการเป็นผู้บริสุทธิ์ของบรรดาศาสดาว่าเมื่อการมีอยู่ของพระเจ้า ประกอบไปด้วยคุณลักษณะอันสูงส่งมากมาย ได้พิสูจน์ไห้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการมีอยู่ของวะฮฺยู และสภาะการเป็นศาสดาโดยทั่วไป อีกประเด็นหนึ่งที่สติปัญญาได้ตัดสินเรื่องนี้ก็คือ ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบรรดาศาสดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นในการรับวะฮฺยู และการเผยแผ่ออกไปแก่ประชาชน กล่าวคือ อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ประทานศาสดาลงมาเพื่อทำหน้าที่ชี้นำประชาชาติ ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาศาสดาของพระองค์ต้องปราศจาการหลงลืม หรือพลั้งเผลอใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจะนับประสาอะไรกับการทำความผิดบาป ซึ่งสิ่งนี้ไม่เหมาะสมกับโครงสร้างทางธรรมชาติของมนุษย์ วิทยปัญญาในการเลือกสรรศาสดาคือ การชี้นำประชาชาติ สั่งสอนประชาชนและสิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมือผู้นำสาส์นของพระเจ้า ต้องปราศจากความผิดพลาด ไม่หลงลืม และมีความบริสุทธิ์ในการรับวะฮฺยูมาสั่งสอน

ซึ่งรากที่มาของคำพูดนี้อยู่ในคุณลักษณะของพระเจ้า เช่น ความรู้ อำนาจ และวิทยปัญญาในการสร้างสรรค์ของพระองค์ วิทยปัญญาในการวางกฎระเบียบ ซึ่งในที่สุดแล้วพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความไม่ดี ความไร้สาระ และการกดขี่ทั้งปวง ดังนั้น ถ้าหากเราะซูลที่รับวะฮฺยูและนำไปเผยแผ่แก่ประชาชนเป็นผู้มีความผิดพลาดแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้บริบาลก็เป็นผู้โง่เขลา เสียสติ ไม่มีความเหมาะสม ด้วยเช่นกัน หรือถ้าหากศาสดามิได้เป็นมะอฺซูม หรือมีความผิดพลาดในการชี้นำทางโดยตั้งใจ หรือพลั้งเผลอ อย่างน้อยที่สุดประชาชาติก็จะไม่มีความเชื่อมั่นต่อเขา ต่อคำสอนที่อ้างว่าเป็นของพระเจ้า ในส่วนแรกแสดงให้เห็นความโง่เขลาและการทำให้ประชาชนหลงทาง ส่วนในกรณีที่สอง ถือว่าการงานของศาสดาไร้ประโยชน์ แน่นอน พระผู้อภิบาลทรงบริสุทธิ์จากทั้งสองกรณี[5]

บัดนี้ เราได้รับทราบแล้วว่าอิซมัตหมายถึงอะไร และความเร้นลับของอิซมัตนั้นอยู่ตรงไหน บางคนได้พิสูจน์ความจำเป็นของอิซมัตด้วยเหตุผลของสติปัญญา แต่ในส่วนทีจะกล่าวต่อไปนี้จะกล่าวในมุมมองของอัลกรอาน ในส่วนแรกโองการต่างๆ ที่กล่าวเกี่ยวกับ อิซมัต ของบรรดาศาสดา ส่วนที่สอง จะกล่าวถึงโองการต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับความบริสุทธิ์ของบรรดาศาสดา และท้ายสุดจะกล่าวถึงคำตอบในเชิงสรุปที่ชัดแจ้งต่อไป

ส่วนที่หนึ่ง โองการต่างๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ (อิซมัต) ของบรรดาศาสดา ซึ่งมีโองการจำนวนมากมายที่กล่าวถึงความเคยชินของจิตใจในนามว่า อิซมัต ที่มีอยู่ในบรรดาศาสดาทั้งหลาย แม้ว่าคำว่า อิซมัต มิได้ปรากฏอยู่ในตัวของพวกท่าน ทว่าความหมายและความเข้าใจ หรือความจำเป็นของความเคยชินนั้น สามารถเข้าใจได้จากโองการต่างๆ เหล่านั้น และเราสามารถแบ่งออกการออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 โองการที่ยกย่องว่าเหล่าบรรดาศาสดาล้วนเป็นผู้ถูกทำให้บริสุทธิ์ คำว่ามุคละซีน หมายถึงกลุ่มชนที่ซาตานมารร้ายไม่อาจลวงล่อพวกเขาได้ ฉะนั้น ในบทสรุปบุคคลที่มิได้อยู่ในบ่วงกรรมของชัยฎอน เขาจึงมีความบริสุทธิ์หรือเรียกว่า มะอฺซูม นั่นเอง

อัลกุรอาน บทซ็อด กล่าวว่าและจงรำลึกถึงปวงบ่าวของเรา อิบรอฮีม อิสหาก และยะอฺกูบ ผู้ที่เข้มแข็งและสายตาไกล (ในเรื่องศาสนา) เราได้เลือกพวกเขาโดยเฉพาะเพื่อเตือนให้รำลึกถึงปรโลก แท้จริงในทัศนะของเรา พวกเขาอยู่ในหมู่ผู้ได้รับเลือกเพราะพวกเขาเป็นคนดี และจงรำลึกถึงอิสมาอีล และอัลยะซะอฺ และซุลกิฟลิ และทุกคนอยู่ในหมู่ผู้ดีเลิศ[6]

โองการข้างต้นได้เอ่ยนามของบรรดาศาสดาบางท่านว่าเป็น มุลละซีน และเป็นผู้มีสายตายาวไกล ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งมุคลิซีน คือบุคคลที่มิได้ถูกชัยฎอนหลอกลวง ดังที่อัลกุรอาน ได้กล่าวอ้างถึงคำพูดของชัยฏอนว่าดังนั้น (ขอสาบาน) ด้วยพระอำนาจของพระองค์ แน่นอนข้าฯจะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด เว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขาที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น[7] หรืออีกโองการหนึ่งกล่าวว่าเว้นแต่ปวงบ่าวของพระองค์ในหมู่พวกเขา ที่ได้รับการคัดสรรเท่านั้น[8]

กลุ่มที่ 2 โองการที่อธิบายว่า การชี้นำของพระเจ้า อยู่ในบรรดาศาสดา เช่น โองการที่กล่าวว่าและแก่เขา เราได้ให้อิสฮากและยะอฺกูบ ทั้งหมดนั้นเราได้นำทางแล้ว และนูฮฺเราก็ได้นำทางแล้วก่อนหน้านั้น และจากลูกหลานของเขานั้น คือ ดาวูด และสุลัยมาน 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ภารกิจของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) หลังจากปรากฏกายแล้วคืออะไร? แล้วเป็นไปได้ไหมที่ท่านจะถูกทำชะฮาดัตโดยน้ำมือของสตรีชราที่มีนวดเครา?
    6315 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/04/21
    ในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) จะได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้จัดตั้งทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านคุณธรรมมโนธรรมเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งความยุติธรรมขึ้นมาปกครองโลกซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ ท่านจะเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมเกียรติและคุณค่าของความเป็นมนุษย์พร้อมกับเรียกร้องไปสู่ความปลอดภัยชีวิตมนุษย์จะกลายเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าในเวลานั้นท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.)
  • ฮะดีซต่างๆ ในหนังสือกาฟียฺ สามารถอธิบายความอัลกุรอานได้หรือไม่?
    8196 ดิรอยะตุลฮะดีซ 2555/07/16
    นักรายงานฮะดีซผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งคือ มุฮัมมัด บิน ยะอฺกูบ กุลัยนียฺ (รฮ.) เป็นหนึ่งในปราชญ์ผู้อาวุโสฝ่ายชีอะฮฺ และเป็นหนึ่งในนักรายงานฮะดีซที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายอิมามียะฮฺ ท่านอยู่ในยุคสมัยการเร้นกายระยะสั้นของท่านอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) และยังเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ อุซูลกาฟียฺ อันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่ารายงานส่วนใหญ่ในหนังสือกาฟียฺล้วนเป็นที่เชื่อถือ แต่หนังสือกาฟียฺก็เหมือนกับหนังสือฮะดีซทั่วไปที่มีรายงานอ่อนแอ และไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง ตามทัศนะของชีอะฮฺและอะฮฺลุซซุนนะฮฺ มีฮะดีซที่ถูกต้องจำนวนมากมายจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ บันทึกอยู่ในหนังสือญะวามิอฺริวายะฮฺ ซึ่งฮะดีซจำนวนมากเหล่านั้นได้ตัฟซีรโองการอัลกุรอาน ซึ่งหนึ่งในฮะดีซทรงคุณค่าเหล่านั้นคือ หนังสือกาฟียฺ ...
  • อลี บิน ฮุเซน ในประโยค“اَلسَّلامُ عَلَى الْحُسَیْنِ وَ عَلى عَلِىِّ بْنِ الْحُسَیْنِ و” หมายถึงใคร?
    7505 تاريخ بزرگان 2554/07/16
    หากพิจารณาจากดุอาตะวัซซุ้ล บทศอละวาตแด่อิมาม บทซิยารัต กลอนปลุกใจ และฮะดีษต่างๆที่กล่าวถึงอิมามซัยนุลอาบิดีนและท่านอลีอักบัรจะพบว่า ชื่อ“อลี บิน ฮุเซน”เป็นชื่อที่ใช้กับทั้งสองท่าน แต่หากพิจารณาถึงบริบทกาลเวลาและสถานที่ที่ระบุในซิยารัตอาชูรอ อันกล่าวถึงวันอาชูรอ กัรบะลา และบรรดาชะฮีดในวันนั้น กอปรกับการที่มีสมญานาม“ชะฮีด”ต่อท้ายคำว่าอลี บิน ฮุเซนในซิยารัตวาริษ ซิยารัตอาชูรอฉบับที่ไม่แพร่หลาย และซิยารัตมุฏละเกาะฮ์ ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า อลี บิน ฮุเซนในที่นี้หมายถึงท่านอลีอักบัรที่เป็นชะฮีดที่กัรบะลาในวันอาชูรอ ...
  • อิมามมะฮ์ดีสมรสแล้วหรือยัง?
    8143 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/09
    แม้จะเป็นไปได้ว่าท่านอิมามมะฮ์ดี(อ.)อาจมีคู่ครองและบุตรหลาน เนื่องจากภาวะการเร้นกายมิได้จำกัดว่าจะท่านต้องงดกระทำการสมรสอันเป็นซุนนะฮ์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่พบเหตุผลใดๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ประเด็นดังกล่าวไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น อาจเป็นผลพวงมาจากความจำเป็นที่พระองค์ทรงเร้นกายท่านจากสายตาผู้คนนั่นเอง ...
  • ความเสียหายของศาสนาคือสิ่งไหน?
    9438 دین و فرهنگ 2555/09/29
    ศาสนา,เป็นพระบัญชาศักดิ์สิทธิ์,มาจากพระเจ้า ซึ่งในนั้นจะไม่มีทางผิดพลาด และไม่มีผลกระทบอันเสียหายอย่างแน่นอน, การยอมรับความผิดพลาดและการกระทำผิด เกี่ยวข้องกับภารกิจของมนุษย์ แน่นอนการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรู้จักผลกระทบของศาสนา และการตื่นตัวของผู้มีศาสนา สิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับไปสู่แก่นแท้ความจริงของศาสนา, ทว่าจะย้อนกลับไปสู่ประชาชาติที่นับถือศาสนา ความใจและการพัฒนาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา ประเภทของการรู้จักในศาสนา และรูปแบบของการตื่นตัวในศาสนา ความเสียหายและผลกระทบต่อศาสนา มีรายละเอียดแตกต่างกันมากมาย เนื่องจากกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา เป็นความเสียหายที่มีผลกระทบ ต่อความศรัทธาของบุคคลที่นับถือศาสนา หรือผู้มีความสำรวมตน ซึ่งความเสียหายดังกล่าวนี้เองจะอยู่ในระดับของการรู้จักทางศาสนา (ความเสียหายทางศาสนาและการศึกษา) บางครั้งก็อยู่ในระดับของการปฏิบัติบทบัญญัติและคำสั่งของศาสนา การรักษาบทบัญญัติ บทลงโทษ และสิทธิ ซึ่งศาสนาได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้รักพึงระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านั้น เช่น ความอิจฉาริษยา ความอคติ และเกียรติยศ อีกกลุ่มหนึ่งของความเสียหายทางศาสนา จะอยู่ในปัญหาด้านสังคมทางศาสนา เช่น ความบิดเบือน การอุปโลกน์ และการกระทำตามความนิยมต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย และเป็นความกดดันต่อการระวังรักษาความศักดิ์สิทธิ์ และการขยายศาสนาให้กว้างขวางออกไป ...
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ชาวสวรรค์ทุกคนจะได้ครองรักกับฮูรุลอัยน์หรือไม่? ฮูรุลอัยน์แต่ละนางมีสามีได้เพียงคนเดียวไช่หรือไม่? และจะมีฮูรุลอัยน์เพศชายสำหรับสตรีชาวสวรรค์หรือไม่?
    10913 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    สรวงสวรรค์นับเป็นความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและประพฤติดีโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศจากการยืนยันโดยกุรอานและฮะดีษพบว่า “ฮูรุลอัยน์”คือหนึ่งในผลรางวัลที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ชาวสวรรค์น่าสังเกตุว่านักอรรถาธิบายกุรอานส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าในสวรรค์ไม่มีพิธีแต่งงานส่วนคำว่าแต่งงานกับฮูรุลอัยน์ที่ปรากฏในกุรอานนั้นตีความกันว่าหมายถึงการมอบฮูรุลอัยน์ให้เคียงคู่ชาวสวรรค์โดยไม่ต้องแต่งงาน.ส่วนคำถามที่ว่าสตรีในสวรรค์สามารถมีสามีหลายคนหรือไม่นั้นจากการศึกษาโองการกุรอานและฮะดีษทำให้ได้คำตอบคร่าวๆว่าหากนางปรารถนาจะมีคู่ครองหลายคนในสวรรค์ก็จะได้ตามที่ประสงค์ทว่านางกลับไม่ปรารถนาเช่นนั้น ...
  • ความต่างกิจกรรมของวิญญาณขณะนอนหลับ และสลบคืออะไร?
    16478 ปรัชญาอิสลาม 2555/09/29
    รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณขณะตื่นนอน กับการปฏิสัมพันธ์ขณะนอนหลับนั้นมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ตามคำสอนของอิสลามจึงได้เรียกการนอนหลับว่า เป็นพี่น้องของความตาย วิทยาศาสตร์แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายขณะนอนหลับ แต่สามารถค้นพบการเปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาบางอย่างทางร่างกายขณะนอนหลับได้ บนพื้นฐานของการค้นคว้านั้นและการทำสอบพบว่ามนุษย์มีการนอนหลับในสองระดับ ด้วยนามว่า REM และ Non REM ซึ่งทั้งสองมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยปกติแล้วการความฝันที่มักเกิดในระดับของ Non REM เกิดจากการหลับลึกซึ่งจะไม่อยู่ในความทรงจำ แต่เฉพาะการนอนหลับในระ REM เท่านั้นที่จะคงอยู่ในความทรงจำ ส่วนการสลบหมดสติเกิดจากการเบี่ยงเบนของวิญญาณ และเป็นการหลับที่ลุ่มลึกมาก ทำให้เขาไม่มีความทรงจำอันใดหลงเหลืออยู่ ...
  • กรุณาอธิบายเกี่ยวกับมัสญิดญัมกะรอนและสาเหตุของการก่อตั้งมัสญิดแห่งนี้
    7357 ประวัติสถานที่ 2554/08/08
    มัสญิดญัมกะรอนหนึ่งคือในสถานที่ศักดิสิทธิและเป็นสถานที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุมประมาณ๖กิโลเมตรมัสญิดแห่งนี้ได้ก่อสร้างเมื่อประมาณ๑๐๐๐ปีที่แล้วโดยคำสั่งของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งผู้ริเริ่มก่อสร้างได้รับคำสั่งดังกล่าวในขณะตื่น (ไม่ใช่ในฝัน) ซึ่งความเมตตาและสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้ปรากฎณสถานที่แห่งนี้อีกทั้งเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับผู้ที่รอคอยการมาของท่านและมีความรักต่อท่านมัรฮูมมิรซาฮูเซนนูรีได้กล่าวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งมัสญิดญัมกะรอนโดยอ้างอิงจากเชคฟาฏิลฮะซันบินฮะซันกุมี (อยู่ยุคสมัยเดียวกับเชคศอดูก) ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองกุม”[1] จากหนังสือ “มูนิซุลฮะซีนฟีมะอ์ริฟะติลฮักวัลยะกีน”[2] ว่า:[3]เชคอะฟีฟศอและฮ์ฮะซันบินมุซลิฮ์ยัมกะรอนีได้กล่าวว่า: ในคือวันพุธที่๑๗เดือนรอมฏอนปี๓๙๓ฮ. ฉันได้นอนอยู่ในบ้านทันใดนั้นได้มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งมาที่ประตูบ้านของฉันและได้ปลุกฉันและได้กล่าวกับฉันว่าจงลุกขึ้นและทำตามความต้องการของอิมามมะฮ์ดี (อ.) ซึ่งท่านได้เรียกหาท่านอยู่พวกเขาได้พาฉันมาสถานที่หนึ่งซึ่งในปัจจุบันสถานที่แห่งนั้นได้กลายมาเป็นมัสญิดญัมกะรอนแล้วท่านอิมามมะฮ์ดีได้เรียกชื่อของฉันและได้กล่าวว่า: “ไปบอกกับฮะซันบินมุสลิมว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันบริสุทธ์ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกและให้สถานที่แห่งนี้มีความบริสุทธ์เจ้าได้ยึดครองสถานที่แห่งนี้...ดังนั้นท่านได้กล่าวว่า: จงบอกประชาชนว่าให้รักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้”[4]อายาตุลลอฮ์อัลอุซมามัรอะชีนะญะฟีได้กล่าวยอมรับความศักดิ์สิทธิของมัสญิดญัมกะรอนว่า: ชีอะฮ์ทั่วไปให้ความสำคัญต่อมัสญิดอันศักดิ์สิทธ์แห่งนี้ตั้งแต่สมัยของการเร้นกายระยะแรกของท่านอิมามมะฮ์ดีจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึงพันสองร้อยสองปีท่านเชคผู้สูงส่งมัรฮูมศอดูกได้กล่าวในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “มูนิซุลฮะซีน” ซึ่งฉันยังไม่ได้อ่านเองทว่ามัรฮูมฮัจยีมิรซาฮุเซนนูรีซึ่งเป็นอาจารย์ของฉันได้เล่าจากหนังสือเล่มนั้นว่าอุลามาอ์และนักวิชาการชั้นนำของชีอะอ์ให้ความเคารพมัสญิดแห่งนี้กันถ้วนหน้าและสิ่งมหัศจรรย์มากมายได้ปรากฏในมัสญิดญัมกะรอนแห่งนี้
  • เพราะสาเหตุใดการใส่ทองคำจึงฮะรอมสำหรับผู้ชาย?
    12391 ปรัชญาของศาสนา 2554/06/22
    ตามทัศนะของนักปราชญ์และผู้รู้การสวมใส่ทองคำสำหรับผู้ชายมีผลกระทบที่สามารถทำลายล้างได้กล่าวคือก) เป็นการกระตุ้นประสาท[1], ข) การเพิ่มจำนวนที่มากเกินไปของเซลล์เม็ดเลือดขาว[2]เหล่านี้คือผลเสียที่สามารถกล่าวถึงได้แต่ประเด็นทีต้องพิจารณาความรู้ที่รับผิดชอบต่อ"สุขภาพพลานามัย" ของมนุษย์ในขณะการปรับปรุงและพัฒนามิติด้านอาณาจักรที่เร้นลับและมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ที่เป็นกังวลสมควรเป็นมุสลิมมากที่สุดซึ่งต้องพิจารณาที่ "ร่างกาย" และ "ความรู้" ระดับในการแสดงออกและเป็นบทนำสำหรับการพิจาณาในขั้นต่อไปเนื่องจากมนุษย์มิใช่เป็นเพียงดินหรือวัตถุเท่านั้นความเป็นมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการเติบโตของความสามารถและศักยภาพต่างๆของมนุษย์พระเจ้าผู้ทรงอำนาจได้ประทานให้แก่พวกเขาโดยมีประสงค์ให้เขาบรรลุตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺของพระองค์แต่จริงๆแล้วแนวทางที่ทำให้พรสวรรค์นี้เติบโตคืออะไร? ศัตรูและอุปสรรคของหนทางนี้อยู่ตรงไหน?อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้อธิบายถึงแนวทางและอุปสรรคขวางกั้นพรสวรรค์และศักยภาพของมนุษย์ไว้ในรูปแบบของบัญญัติแห่งศาสนาในฐานะที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณด้วยการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆแล้วไม่อาจมีข้อสงสัยใดๆได้เลยว่าบทบัญญัติพระเจ้าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นภายนอกและในตัวเองแต่ถ้าต้องการทราบถึงปรัชญาของสิ่งนั้นจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ด้วย:1- มนุษย์สามารถรับรู้ปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติของพระเจ้าได้หรือไม่? แน่นอนคำตอบคือไม่เนื่องจาก:ก) เนื่องจากในตำราทางศาสนามิได้กล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดของบทบัญญัติเอาไว้ข) บทบัญญัติที่กล่าวถึงปรัชญาของตัวเองเอาไว้ไม่อาจรับรู้ได้ว่ากล่าวถึงปรัชญาทั้งหมดแล้วหรือไม่, ทว่าบางครั้งบทบัญญัติเพียงข้อเดียวก็มีปรัชญากล่าวไว้อย่างมากมายแต่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะกล่าวบางข้อเหล่านั้นเพื่อเป็นการย้ำเตือนความทรงจำค) ความรอบรู้ของมนุษย์ก็สามารถค้นหาปรัชญาและวิทยปัญญาบางประการของบทบัญญัติได้เท่านั้นมิใช่ทั้งหมด

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60250 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57752 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42344 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39564 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    39023 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34112 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    28116 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28091 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25949 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...