การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6920
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/03/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa861 รหัสสำเนา 12545
คำถามอย่างย่อ
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
คำถาม
มนุษย์ธรรมดาทั่วไปสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ได้หรือไม่?
คำตอบโดยสังเขป

 คำว่าอิซมัตหมายถึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ หรือการดำรงอยู่ในความปอดภัย หรือการเป็นอุปสรรคต่อการหลงลืมกระทำความผิดบาป ความบริสุทธิ์นั้นมีระดับชั้น ซึ่งแน่นอนว่าระดับชั้นหนึ่งนั้นสูงส่งเฉพาะพิเศษสำหรับบรรดาศาสดา (.) และบรรดาอิมามผู้เป็นตัวแทนของพระองค์ ซึ่งตำแหน่งผู้บริสุทธิ์ที่เป็นของท่านเหล่านั้น ซึ่งพิสูจน์ด้วยเหตุที่อัลกุรอานและรายงานได้ยืนยันไว้ ประกอบกับท่านเหล่านั้นได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อชี้นำมวลมนุษย์ชาติ ในฐานะของเคาะลิฟะฮฺ ส่วนเกี่ยวกับบุคคลอื่นนั้นแม้ว่าจะพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งและสามารถรู้จักได้ก็ตาม แต่ก็มิได้อยู่ในระดับหรือแถวเดียวกันกับบรรดามะอฺซูมเหล่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าพวกเขาไม่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้แน่นอน การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคนทั่วไปไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลของอัลกุรอาน รายงาน และการแต่งตั้งก็ตาม ทว่าเราสามารถรู้จักได้ว่าสัญลักษณ์ เช่น การกระทำความดี หรือจากเนียต (เจตคติ) และอีกหลายประการ ซึ่งสมารถจำแนกได้

คำตอบเชิงรายละเอียด

มนุษย์คือสรรพสิ่งที่มีอยู่ด้วยเจตคติหรือมีเจตนารมณ์เสรี ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะที่ว่าเขาถูกประดับประดาด้วยพลังความศรัทธา และการกระทำความดี และด้วยการหลีกเลี่ยงจากความหลงลืมในคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของพระเจ้า ซึ่งสามารถไปถึงยังตำแหน่งของ เคาะลิฟะตุลลอฮฺได้ หมายถึงเขาได้พบกับความสมบูรณ์ทั้งหมดที่เหมาะสมสำหรับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และบริสุทธิ์จากการหลงลืม ข้อบกพร่องทั้งทางโลกและทางธรรม มีอำนาจวิลายะฮฺตักวีนียะฮฺในหัวใจ[1]

การเลือกสรรที่ถูกต้องบนพื้นฐานความรู้และความปรารถนาที่แข็งแรงของเขา ต้องเป็นไปตามสติปัญญาและธรรมชาติของศาสนา และแน่นอน ถ้าหากความรู้และความปรารถนาของเราแข็งแรงมากเท่าใด เขาก็จะปลอดภัยจากความผิดพลาดมากเท่านั้น เนื่องจากสาเหตุของการหลงลืมนั้นเกิดจากการที่เราไม่มีความเชื่อ และไม่สนใจ ถ้าหากปัจจัยของการกำชับความดีและการห้ามปรามความชั่วมีความสำคัญต่อเขาจริง และเป็นคำย้ำเตือนต่อเขาด้วยดีเสมอมาแล้วละก็ เขาจะไม่ลืมและจะไม่ผิดพลาดอย่างเด็ดขาด และนี่ก็คือตำแหน่งที่เรียกว่า อิซมัต หรือความบริสุทธิ์นั้นเอง ซึ่งตำแหน่งนี้นั่นเองที่ได้ส่งเสริมเขาให้ขึ้นไปสู่ ตำแหน่งวิลายะฮฺและเป็นเคาะลีฟะตุลลอฮฺ ในที่สุด บรรดาศาสดาและผู้เป็นตัวแทนของพระเจ้าคือ ผู้รักษาวะฮฺยูทีซื่อสัตย์ของพระองค์ และในฐานะที่เป็นอิมามและเป็นแบบอย่างสำหรับมวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านเหล่านั้นต้องพัฒนาตนไปสู่ตำแหน่งดังกล่าว จนกระทั่งว่า

1) พวกเขาจะได้สามารถนำเอาข่าวสารของพระเจ้าประกาศแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุด

2) เพื่อว่าประชาชนจะได้มั่นใจในคำพูดและความประพฤติของพวกเขา

3) เพื่อว่าประชาชนจะได้นำเอาความประพฤติและจริยธรรมของพวกเขามาเป็นแบบอย่าง และอบรมสั่งสอนตัวเองและบุตรหลานให้เป็นเช่นนั้น เพื่อว่าตนจะได้ก้าวเดินไปสู่ความสมบูรณ์ในการเป็นเคาะลีฟะฮฺของพระเจ้า สามารถโน้นน้าวแนวทางอันเป็นวัตถุประสงค์ของพระเจ้ามาแนบติดตัวไว้ได้ตลอดเวลา และจนกระทั่งตนสามารถพบอัลลอฮฺได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง ด้วยความเมตตาการุณย์ของพระเจ้า พร้อมกับเจตคติเสรีนับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต เขาไม่เคยกระทำความผิด ไม่เคยละเมิด และไม่เคยละเว้นคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามแต่อย่างใด จนกระทั่งว่าประชาชนได้เลื่อมใสและเชื่อถือเขาถึงขั้นสูงสุด ข้อพิสูจน์สำหรับประชาชนก็เสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังได้แนะนำบุคคลอื่นให้เชื่อปฏิบัติตามเช่นนั้นอีกด้วย

ดังนั้นมนุษย์ทุกคนสามารถก้าวเดินไปบนหนทางของ อิซมัต ได้จนกระทั้งไปถึงยังตำแหน่งวิลายะฮฺและคิลาฟะฮฺ และไม่ว่าเขาจะพยายามมากเท่าใด มีความเคร่งครัดในเรื่องตักวา (ความสำรวมตนจากบาป) มากเท่าใด เขาก็จะได้รับความเมตตาการุณย์จากพระเจ้ามากท่านั้น เนื่องจาก พระองค์ทรงสัญญาว่าจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺเถิด แล้วพระองค์จะทรงสอนสั่งเจ้า[2] ทำนองเดียวกันอัลกุรอานกล่าวว่าส่วนบรรดาผู้ต่อสูดิ้นรนในหนทางของเรา (ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) แน่นอน เราจะชี้แนะหนทางอันถูกต้องของเราแก่พวกเขา แท้จริง อัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับผู้กระทำความดีทั้งหลาย[3] พระองค์ตรัสอีกว่าบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากสูเจ้าสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้สิ่งจำแนกแก่สูเจ้า ระหว่างความจริงและความเท็จ และจะทรงลบล้างบรรดาความผิดของสูเจ้าออกจากสูเจ้าและจะทรงอภัยโทษให้แก่สูเจ้าด้วย อัลลอฮฺ คือผู้ทรงมีบุญคุณอันใหญ่หลวง[4] อีกโองการหนึ่งกล่าวว่าผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี แน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้[5]

รายงาน (ฮะดีซ) กุดซีย์กล่าวว่า บุคคลใดจากปวงบ่าวของข้า ถ้าเขามุ่งมานะอยู่กับการอิบาดะฮฺต่อข้า ข้าจะเติมเต็มความสุขในการรำลึกถึงข้าแก่เขา และเขาจะกลายเป็นผู้ที่รักข้า และข้าก็จะรักเขา ข้าจะปลดเปลื้องม่านกันสายตาระหว่างข้ากับเขาออกไป ดังนั้น เมื่อประชาชนคนอื่นตกอยู่ในวิกฤตของการหลงลืม เพิกเฉย เขาจะปลอดภัยจากสภาพนั้น (เขาจะไม่มีวันลืมเลือน) ฉะนั้น เมื่อเขาพูด คำพูดของเขาจะเหมือนคำพูดของบรรดาศาสดาทั้งหลาย พวกเขาทั้งหลายคือคุณาประโยชน์แก่ชาวโลก ข้าได้กำหนดโทษแก่ผู้กระทำความผิด แต่ยามที่ข้านึกถึงพวกเขา ข้าได้ถอดถอนการลงโทษไปจากชาวดิน เนื่องจากพวกเขา[6]

ฉะนั้น อิซมัต หรือความบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในบรรดาศาสดาทั้งหลายนั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยโองการต่างๆ และรายงานอีกจำนวนมากมาย ประกอบกับเหตุผลทางสติปัญญาก็ยืนยันให้เห็นถึงสิ่งเหล่านั้น[7] แต่ทว่าไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะท่านเหล่านั้น เนื่องจากบุคคลใดก็ตามถ้าหากได้ขวนขวายพยายามที่จะสร้างความสำรวมตน ด้วยความรู้และความปรารถนาของตนสามารถ เขาก็สามารถไปถึงระดับดังกล่าวได้เช่นกัน

ในบรรดาศาสดาและตัวแทนของท่านนอกจากจะมีสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว พวกท่านยังได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าให้เป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน บางท่านได้ดำรงตำแหน่งศาสดา และบางท่านได้ตำแหน่งวิลายะฮฺ แน่นอน การแต่งตั้งของพระเจ้าย่อมเป็นเหตุผลทีชี้ชัดเจนว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป และอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง มิเช่นนั้นแล้วการที่อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเลือกพวกเขาให้เป็นผู้ชี้นำสั่งสอนคนอื่น หรือให้การอบรมฝึกฝนคนอื่นให้เป็นคนดี หรือมีหน้าที่ปกป้องศาสนาของพระองค์ ทั้งที่ตัวเองยังมีบาปและความผิดอยู่ จะเข้ากันได้อย่างไรกับตำแหน่งการเป็นตัวแทนของพระเจ้า[8] แต่หนทางในการจำแนกตำแหน่งหรือการเข้าถึงสถานภาพดังกล่าวคือ

1) ผู้บริสุทธิ์หลีกเลี่ยงจากความผิดและพฤติกรรมเลวร้าย อันเป็นสภาพการดำรงชีวิตของคนทั่วไปในสังคม เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับการกระทำความผิด เช่น การล่วงถลำเข้าไปในความชั่วร้ายต่างๆ การหลงในตำแหน่งหน้าที่ กิเลส ทรัพย์สิน และอื่นๆ

2) กระทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่บางครั้งอาจเหนือธรรมชาติด้วยซ้ำไป เช่น การล่วงรู้ในความรู้ เจตคติ และความคิดของคนอื่น การเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วย การขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้พ้นไปจากตัวคนอื่น ซึ่งภารกิจเหล่านี้คนอื่นไม่อาจกระทำได้

3) ดุอาอ์และการสาปแช่งของพวกเขาได้รับการตอบรับจากพระเจ้า

4) มีอิทธิพลกับจิตใจของคนอื่น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนนั้นให้เป็นคนดีได้

5) มีใจกว้างและอภัยให้สังคมเสมอ และรู้จักสถานภาพของตนเองตลอดเวลาทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและส่วนรวม

6) พวกเขาคือผู้อำนวยความการุณย์ของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้เห็นความจำเริญและความโปรดปรานของพระองค์หลั่งไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการลงโทษก็ถูกถอดถอนไปจากสังคม

แน่นอน เมื่อเราพิจารณาทีท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) และตัวแทนของท่านเราก็ได้ประจักษ์ชัดว่า ท่านเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปได้ที่บุคคลอื่นจะเข้าถึงยังตำแหน่งดังกล่าว ในระหว่างบรรดาศาสดาด้วยก้นก็ยังมีระดับขั้นของความบริสุทธิ์ ซึ่งบรมศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) ถือว่ามีตำแหน่งสูงสุด รองลงมาเป็นบรรดาอิมาม (.) ผู้เป็นตัวแทนของศาสดา และรองลงมาเป็นบรรดาศาสดาท่านอื่นๆ จนกระทั่งไปถึงประชาชนคนธรรมดา หมายถึงการดำเนินไปสู่ความเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือคิลาฟะฮฺของอัลลอฮฺนั้น มีระดับชั้นและขั้นตอนที่ต่างกันออกไปทั้งในแนวตั้งและในแนวนอน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าการจำแนกตำแหน่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความรู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้มา 

 

แหล่งอ้างอิง :

1.อัลกุรอานกะรีม

2.ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ ตะฮฺรีร ตัมฮีดุล กะวาอิด สำนักพิมพ์ อัซซะฮฺรอ (.) พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1372 เตหะราน

3. ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ วิลายะฮฺในกุรอาน สำนักพิมพ์อัสรอ พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1379 กุม

4.ญะวาด ออมูลี อับดุลลอฮฺ ฮิกมะฮฺ อิบาดะฮฺ สำนักพิมพ์อัสรอ พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1378 กุม

5. ฮุซัยนฺ เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ เตาฮีด อิลมีวะอัยนีย์ นัชร์ อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี .. 1417 มัชฮัด

6. อายะตุลลอฮฺ ซ็อดร์ ซัยยิดมุฮัมมัดบากิร คิลาฟะฮฺ อินซาน วะ กะวาฮี พียัมบะรอน แปลโดย ญะมาล มูซาวี ปี 1359 เตหะราน

7. ฆิยอ ชะโมชะกีย์ อบุลฟัฎล์ วิลายะดัรเอรฟาน ดารุลซอดิกีน พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1378 เตหะราน

8. มุเฏาะฮะรีย์ มุรตะฎอ อินซานกามิล สำนักพิมพ์ ซ็อดร์ พิมพ์ครั้งที่ 8 ปี 1372 กุม

9. มุเฏาะฮะรีย์ มุรตะฎอ วะลาฮอ วะวิลายะฮฺฮอ ตัฟตัรอินติชารอต อิสลามี กุม

10. มะลิกีย์ ตับรีซีย์ ญะวาด ริซาละฮฺ ลิกออุลลอฮฺ ตุรบัต พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1379 เตหะราน



[1]  เนะมอเยะฮฺฮอเยะ มะฮฺบูบโคดาชุดัน สะอาดัตวะกะมาลอินซาน กุรบ์อิลาฮี และ ...

[2]  อัลกุรอาน บทบะเกาะเราะฮฺ 282, บทตะฆอบุน 11

[3] อัลกุรอาน บทอังกะบูต 69

[4] อัลกุรอาน บทอัลฟาล 29

[5] อัลกุรอาน บทอันนะฮฺลิ 97

[6]  คัดลอกมาจาก ฮุซัยนี เตหะรานี มุฮัมมัด ฮุซัยนฺ เตาฮีดอิลมีวะอัยนี หน้า 337

[7]  มิซบาฮฺ ยัซดีย์ มุฮัมมัด ตะกีย์ เราะฮฺวะเราะเนะมอชะนอซีย์ หน้า 147,212

[8] อ้างแล้วเล่มเดิม

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • ทำไม อิบลิส (ซาตาน) จึงถูกสร้างขึ้นจากไฟ ?
    10683 เทววิทยาดั้งเดิม 2553/10/21
    คำถามนี้ไม่มีคำตอบแบบสั้น โปรดเลือกปุ่มคำตอบที่สมบูรณ์ ...
  • อิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) ได้สมรสกับหญิงหลายคน และหย่าพวกนางหรือ?
    7455 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    หนึ่งในประเด็น อันเป็นความเสียหายใหญ่หลวง และน่าเสียใจว่าเป็นที่สนใจของแหล่งฮะดีซทั่วไปในอิสลาม, คือการอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซ โดยนำเอาฮะดีซเหล่านั้นมาปะปนรวมกับฮะดีซที่มีสายรายงานถูกต้อง โดยกลุ่มชนที่มีความลำเอียงและรับจ้าง ท่านอิมามฮะซัน มุจญฺตะบา (อ.) เป็นอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านที่สอง, เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดานักปลอมแปลงฮะดีซ ได้กุการมุสาพาดพิงไปถึงท่านอย่างหน้าอนาถใจที่สุด ในรูปแบบของรายงานฮะดีซ ซึ่งหนึ่งในการมุสาเหล่านั้นคือ การแต่งงานและการหย่าร้างจำนวนมากหลายครั้ง แต่หน้าเสียใจตรงที่ว่า รายงานเท็จเหล่านี้บันทึกอยู่ในแหล่งอ้างอิงฮะดีซและหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งซุนนียฺและชีอะฮฺ แต่ก็หน้ายินดีว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักความเชื่อที่ถูกต้องมีอยู่อยู่มือจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทำให้การอุปโลกน์และปลอมแปลงฮะดีซของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ...
  • ในมุมมองของรายงาน,ควรจะประพฤติตนอย่างไรกับผู้มิใช่มุสลิม?
    7646 สิทธิและกฎหมาย 2555/08/22
    อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติอันสะอาดยิ่งของมนุษย์ ศาสนาแห่งความเมตตา ได้ถูกประทานลงมาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของมนุษย์ชาติทั้งหมด อีกด้านหนึ่งการเลือกนับถือศาสนาเป็นความอิสระของมนุษย์ ดังนั้น ในสังคมอิสลามนั้นท่านจะพบว่ามีผู้มิใช่มุสลิมปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย อิสลามมีคำสั่งให้รักษาสิทธิ ประพฤติดี และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่นับถือศาสนา ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอิสลาม ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม หรือบุคคลที่อยู่ในสังคมอื่นที่มิใช่อิสลาม, ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้รัฐอิสลาม จำเป็นรักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัยด้วย ถ้าหากไม่รักษาเงื่อนไขของผู้ร่วมอาศัย หรือทรยศหักหลังก็จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอิสลาม ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ริวายะฮ์ที่กล่าวว่า “ในสมัยที่อิมามอลี (อ.) ปกครองอยู่ ท่านมักจะถือแซ่เดินไปตามถนนหนทางและท้องตลาดพร้อมจะลงโทษอาชญากรและผู้กระทำผิด” จริงหรือไม่?
    6412 สิทธิและกฎหมาย 2555/03/18
    สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมา มะการิม ชีรอซี ริวายะฮ์ข้างต้นกล่าวถึงช่วงรุ่งอรุณขณะที่ท่านสำรวจท้องตลาดในเมืองกูฟะฮ์ และการที่ท่านมักจะพกแซ่ไปด้วยก็เนื่องจากต้องการให้ประชาชนสนใจและให้ความสำคัญกับกฏหมายนั่นเอง สำนักงานท่านอายะตุลลอฮ์อัลอุซมาศอฟีย์ กุลพัยกานี ริวายะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง และสิ่งที่อิมามอลี(อ.) ได้กระทำไปคือสิ่งที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยุคนั้น การห้ามปรามความชั่วย่อมมีหลายวิธีที่จะทำให้บังเกิดผล ดังนั้นจะต้องเลือกวิธีที่จะทำให้สังคมคล้อยตามความถูกต้อง คำตอบของท่านอายะตุลลอฮ์มะฮ์ดี ฮาดาวี เตหะรานี มีดังนี้ หากผู้ปกครองในอิสลามเห็นสมควรว่าจะต้องลงโทษผู้ต้องหาและผู้ร้ายในสถานที่เกิดเหตุ หลังจากที่พิสูจน์ความผิดด้วยวิธีที่ถูกต้อง และพิพากษาตามหลักศาสนาหรือข้อกำหนดที่ผู้ปกครองอิสลามได้กำหนดไว้ การลงทัณฑ์ในสถานที่เกิดเหตุถือว่าไม่ไช่เรื่องผิด และในการนี้ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงริวายะฮ์ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่รายงานที่ถูกต้องที่ปรากฏในตำราฮะดีษอย่าง กุตุบอัรบาอะฮ์[1] ก็คือ ท่านอิมามอลี (อ.) พกแซ่เดินไปตามท้องตลาดและมักจะตักเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีตำราเล่มใดบันทึกว่าอิมามอลี (อ.) เคยลงโทษผู้ใดในตลาด
  • ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ.) »อัลฮัมดุลลิลฮิร็อบบิลอาละมีน« หมายถึงอะไร?
    11262 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/05/17
    ตัฟซีรอิมามฮะซัน อัสการียฺ (อ.) เป็นหนึ่งในตัฟซีรที่กล่าวว่าเป็นของท่านอิมาม ซึ่งมีเหตุผลบางประการพาดพิงว่าตัฟซีรดังกล่าวเป็นของท่านอิมาม แต่เป็นเหตุผลที่เชื่อถือไม่ได้แน่นอน ตัฟซีรชุดนี้ได้มีการตีความอัลกุรอาน บทฟาติฮะฮฺ (ฮัม) และบทบะเกาะเราะฮฺ โองการ 282 โดยรายงานฮะดีซ ซึ่งในวิชาอุลูมกุรอานเรียกว่าตัฟซีร »มะอฺซูเราะฮฺ« อย่างไรก็ตาม, ท่านอิมามฮะซันอัสการียฺ (อ.) ได้อธิบายถึงประโยคที่ว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ไว้ในหลายประเด็น, เนื่องจาการขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานต่างๆ อันไม่อาจคำนวณนับได้, การสนับสนุนสรรพสิ่งถูกสร้าง, ความประเสริฐ และความดีกว่าของชีอะฮฺ เนื่องจากการยอมรับวิลายะฮฺ และอิมามะฮฺของท่านอิมามอะลี (อ.) และกล่าวว่า เนื่องจากจำเป็นต้องขอบคุณอัลลอฮฺ เพราะความโปรดปรานของพระองค์ จึงได้กล่าวว่า «اَلْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِين» ...
  • โองการตัฏฮีร กล่าวอยู่ในอัลกุรอานบทใด?
    7548 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/06/30
    อัลกุรอาน โองการที่รู้จักกันเป็นอย่างดีหรือ โองการตัฏฮีร, โองการที่ 33 บทอัลอะฮฺซาบ.อัลกุรอาน โองการนี้อัลลอฮฺ ทรงอธิบายให้เห็นถึง พระประสงค์ที่เป็นตักวีนีของพระองค์ สำหรับการขจัดมลทินให้สะอาดบริสุทธิ์สมบูรณ์ แก่ชนกลุ่มหนึ่งนามว่า อะฮฺลุลบัยตฺ อัลกุรอาน โองการนี้นับว่าเป็นหนึ่งในโองการทรงเกียรติยศยิ่ง เนื่องจากมีรายงานจำนวนมากเกินกว่า 70 รายงาน ทั้งจากฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ กล่าวถึงสาเหตุแห่งการประทานลงมา จำนวนมากมายของรายงานเหล่านั้นอยู่ในขั้นที่ว่า ไม่มีความสงสัยอีกต่อไปเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโองการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ของโองการที่กล่าวเกี่ยวกับ อะฮฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ซ็อล น) ซึ่งประกอบไปด้วย ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ ท่านอะลี ท่านฮะซัน และท่านฮุซัยนฺ (อ.) แม้ว่าโองการข้างต้นจะถูกประทานลงมา ระหว่างโองการที่กล่าวถึงเหล่าภริยาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ก็ตาม แต่ดังที่รายงานฮะดีซและเครื่องหมายอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงประเด็นดังกล่าวนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า โองการข้างต้นและบทบัญญัติของโองการ มิได้เกี่ยวข้องกับบรรดาภริยาของท่านศาสดาแต่อย่างใด และการกล่าวถึงโองการที่มิได้เกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียวกัน ...
  • ได้ยินว่าระหว่างสงครามอิรักกับอิหร่านนั้น ร่างของบางคนที่ได้ชะฮีดแล้ว, แต่ไม่เน่าเปื่อยสลาย, รายงานเหล่านี้เชื่อถือได้หรือยอมรับได้หรือไม่?
    8473 เทววิทยาดั้งเดิม 2555/05/17
    โดยปกติโครงสร้างของร่างกายมนุษย์, จะเป็นไปในลักษณะที่ว่า เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปลิดไปจากร่างกายแล้ว, ร่างกายของมนุษย์จะเผ่าเปื่อยและค่อยๆ สลายไป, ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ที่ร่างกายของบางคนหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนานหลายปี จะไม่เน่าเปื่อยผุสลายและอยู่ในสภาพปกติ. แต่อีกด้านหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการงาน[1] ซึ่งอย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีความเป็นไปได้ หรือห่างไกลจากภูมิปัญญาแต่อย่างใด. เพราะว่านี่คือกฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งได้รับการละเว้นไว้ในบางกรณี, เช่น กรณีที่ร่างของผู้ตายอาจจะไม่เน่าเปื่อย โดยอนุญาตของอัลลอฮฺ ดังเช่น มามมีย์ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นไปนานหลายพันปีแล้ว และประสบการณ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงดังกล่าวแล้วด้วย ดังนั้น ถ้าหากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ครอบคลุมเหนือประเด็นดังกล่าวนี้ ก็เป็นไปได้ที่ว่าบางคนอาจเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี แต่ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อยผุสลาย ยังคงสมบูรณ์เหมือนเดิม แล้วพระองค์ทรงเป่าดวงวิญญาณให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเขาผู้นั้นได้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง, อัลกุรอานบางโองการ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องราวของศาสดาบางท่านเอาไว้[2] เช่นนี้เองสิ่งที่กล่าวไว้ในรายงานว่า ถ้าหากบุคคลใดที่มีนิสัยชอบทำฆุซลฺ ญุมุอะฮฺ, ร่างกายของเขาในหลุมฝังศพจะไม่เน่นเปื่อย
  • ในทัศนะอิสลาม บาปของฆาตกรที่เข้ารับอิสลามจะได้รับการอภัยหรือไม่?
    8114 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/12
    อิสลามมีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามอาทิเช่นหากก่อนรับอิสลามเคยละเมิดสิทธิของอัลลอฮ์เช่นไม่ทำละหมาดหรือเคยทำบาปเป็นอาจินเขาจะได้รับอภัยโทษภายหลังเข้ารับอิสลามทว่าในส่วนของการล่วงละเมิดสิทธิเพื่อนมนุษย์เขาจะไม่ได้รับการอภัยใดๆเว้นแต่คู่กรณีจะยอมประนีประนอมและให้อภัยเท่านั้นฉะนั้นหากผู้ใดเคยล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นเมื่อครั้งที่ยังมิได้รับอิสลามการเข้ารับอิสลามจะส่งผลให้เขาได้รับการอนุโลมโทษทัณฑ์จากอัลลอฮ์ก็จริงแต่ไม่ทำให้พ้นจากกระบวนการพิจารณาโทษในโลกนี้
  • การให้การเพื่อต้อนรับเดือนมุฮัรรอม ตามทัศนะของชีอะฮฺถือว่ามีความหมายหรือไม่?
    7480 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    การจัดพิธีกรรมรำลึกถึงโศกนาฏกรรมของท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) ถือเป็นซุนนะฮฺ (แบบฉบับ) ซึ่งได้รับการสถาปนาและสนับสนุนโดยบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.)

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    60132 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57573 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    42220 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    39370 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38950 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    34004 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    28021 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27966 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27804 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25802 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...